Tuesday, July 18, 2023

กิจกรรมการฟัง

กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการฟัง

วีดีโอที่ 1  ฟังแล้วช่วยกันสรุปเนื้อหา พร้อมทั้งบอกว่าเป็นการฟังแบบใดเมื่อฟังแล้ว ช่วยกันวิเคราะห์ ว่าการฟังนี้ เป็นการฟังประเภทใด และในเนื้อหามีอะไร ที่น่าสนใจ และสามารถนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันอย่างไร 


 

วีดีโอที่ 2 ความหมายและความเข้าใจของการฟังแบบต่างๆ  




วีดีโอที่ 3 ตัวอย่างการฟัง Deep listening
https://youtu.be/oD0LwD39_XM





วีดีโอที่ 4   ตัวอย่างการสรุปเรื่องจากการฟัง พร้อมกิจกรรม ที่น่าสนใจ จากวีดีโอ

https://youtu.be/mkZkWEkjSJI





การฟังแบบลึกซึ้ง (Deep Listening) คือการใช้ความสนใจที่สูงและสัมผัสอารมณ์ที่จริงในขณะที่เราฟังผู้พูด โดยเน้นการเข้าใจและรับรู้เนื้อหาที่ผู้พูดกล่าวให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง การฟังแบบลึกซึ้งนี้เน้นที่การเข้าใจเรื่องราวที่ถูกเล่าออกมา และการเข้าใจความรู้สึก ความคิด และประสบการณ์ของผู้พูด



การฟังแบบเห็นอกเห็นใจ (Empathic Listening) คือการฟังอย่างใส่ใจและรับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูด โดยการสนับสนุนและเห็นใจความทุกข์ทรมานหรือความสุขของผู้พูด การฟังแบบเห็นอกเห็นใจนี้เน้นที่การสร้างความเชื่อมั่นและความรู้สึกว่าผู้พูดได้รับการยอมรับและเข้าใจอย่างแท้จริง

การฟังอย่างเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ (Empathic Listening) พร้อมกับคำอธิบายที่ง่ายต่อการเข้าใจ:
1; การสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Save Zone):
    • ตัวอย่าง: การให้คนในกลุ่มเล่าเรื่องส่วนตัวที่รู้สึกยากต่อการเปิดเผย โดยสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและเชื่อมต่ออารมณ์กับผู้พูด เพื่อให้เขาเปิดใจและเล่าเรื่องราวได้อย่างอิสระ นักเรียนสามารถสร้างกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นที่ปลอดภัยที่สามารถแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวได้อย่างเปิดเผยและเชื่อมต่อกับผู้อื่น.
2; ไม่ตัดสินเรื่องราวที่ได้ยิน:
ตัวอย่าง: ฟังเรื่องราวของผู้อื่นโดยไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด และไม่เรียกค่านิยมส่วนตัวเข้ามาในการตีความหมายของเรื่องราว การสนใจและการเข้าใจเรื่องราวของผู้พูดจะเป็นสิ่งที่สำคัญในช่วยให้ผู้พูดรู้สึกว่าเขาได้รับการยอมรับและเข้าใจจากผู้ฟัง.
3; ให้ความสนใจกับคนข้างหน้าอย่างเต็มที่:
ตัวอย่าง: ฟังผู้พูดโดยปิดเสียงโทรศัพท์และแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจและสนใจเขาอย่างแท้จริง ด้วยการมองตาและการยิ้มเล็กๆ เราสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้พูดว่าเขาได้รับความสนใจและเข้าใจจากเรา.
4;ฟังให้ลึก แยกให้ออกว่าเป็นความจริงหรือความรู้สึก:
ตัวอย่าง: ฟังเพื่อเข้าใจและแยกแยะว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นความจริง (Fact) หรือความรู้สึก (Feeling) ในการฟังเรื่องราวของผู้พูดเราสามารถระบุว่าเนื้อหาที่ได้ยินเป็นเรื่องแสดงถึงความจริงและข้อมูล
5;อย่ากลัวความเงียบ: ยอมรับและเข้าใจว่าความเงียบอาจเกิดขึ้นในระหว่างการฟัง อย่ารีบถามหรือทำลายความเงียบนั้น เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผู้พูดกำลังตระหนักรู้และกำลังพิจารณาในด้านต่างๆ.
ขยายความ: การอธิบาย:
ความเงียบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการฟังอย่างเข้าใจ มีความหมายว่าเมื่อเราฟังเรื่องราวของคนอื่น อาจเกิดช่วงความเงียบที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้พูดกำลังคิดหรือพิจารณาเรื่องราวที่กำลังถูกเล่าออกมา ในช่วงเวลานี้ ไม่ควรรีบถามหรือพูดอะไรเพิ่มเติมเพราะอาจจะขัดเขวสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในคนพูด ควรให้เวลาแก่ผู้พูดเพื่อให้เขามีโอกาสสะท้อนหรือมีความคิดที่ดีกว่า บางครั้ง "ความเงียบคืองาม" ที่ทำให้เราสามารถมองดูและพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างตระหนักและลึกซึ้งขึ้น.

6;ทวนคำที่ได้ฟัง: บางครั้งจำเป็นต้องทวนสองคำที่ได้ยิน เพื่อให้ผู้พูดได้ยินเสียงของตนเองผ่านทางผู้ฟัง การทวนสิ่งที่ได้ยินเป็นการเห็นภาพของตนเองและรับรู้เรื่องราวอย่างลึกซึ้ง.
7;ระวังเสียงที่ใช้ระหว่างการฟัง: ระหว่างการฟัง ควรระวังการใช้เสียงให้เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป เพื่อไม่ให้เสียงที่ใช้มีผลกระทบต่อการเป็นผู้ฟังว่าเราเห็นด้วยกับเรื่องราวหรือไม่ การรักษาเสียงในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้เราเข้าใจและเพิ่มโอกาสให้ผู้พูดสะดุดเป็นระยะเวลาที่ยาวขึ้นเพื่อพูดเรื่องราวที่ลึกซึ้งมากขึ้น.

สรุปคือ การฟังแบบลึกซึ้งเน้นการเข้าใจและรับรู้เนื้อหาที่ถูกเล่า และการฟังแบบเห็นอกเห็นใจเน้นการเห็นใจและรับรู้ความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูด ทั้งสองแบบนี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการสร้างความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

การพัฒนาทักษะการฟังอย่างตั้งใจ (active listening)สามารถสรุปได้ดังนี้:

  1. ไม่ขัดจังหวะการพูดของผู้อื่น: หมั่นฝึกฝนการใช้เทคนิคนี้เพื่อไม่ขัดจังหวะการพูดของผู้พูด และสร้างสมาธิในการฟัง
  2. ให้ความสนใจกับสิ่งที่ผู้อื่นพูด: ตั้งเป้าหมายในการฟังอย่างตั้งใจโดยให้ความสนใจมากกว่าที่ตนเองต้องการพูด
  3. ยอมรับความเงียบ: ต้องไม่ต้องตอบทุกคำถามหรือมีความคิดเห็นตลอดเวลา รับให้โอกาสให้ผู้พูดเปิดโอกาสให้ถามหรือแสดงความคิดเห็น
  4. กระตุ้นให้อีกฝ่ายเสนอความคิดเห็นและทางแก้ไขก่อน: ขอความเห็นจากผู้พูดหรือผู้ฟังคนอื่นก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเอง
  5. ยกประเด็นสำคัญที่ได้รับฟังขึ้นมากล่าวซ้ำ: ใช้การเรียบเรียงความเข้าใจของตนเองใหม่ด้วยถ้อยคำของตนเองเพื่อทบทวนความเข้าใจ
  6. นัดหมายเพื่อหารือในประเด็นที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน: หากสิ่งที่เราได้ฟังขัดแย้งกับข้อมูลที่มีหรือที่เคยรับรู้มา ไม่ควรแสดงความคิดเห็นทันที แต่ควรขอโอกาสในการพูดคุยหรือนำเสนอข้อมูลให้พิจารณาในภายหลัง



No comments:

Post a Comment