Saturday, January 27, 2024

กิจกรรมการเขียนบทความ

 ส่วนที่ 1: ขั้นตอนที่ 1-5 (เตรียมการ)

  1. เลือกหัวข้อ: ให้เริ่มต้นโดยการเลือกหัวข้อหรือเรื่องที่คุณสนใจและมีความรู้เกี่ยวกับมัน.


  2. การวิจัยและรวบรวมข้อมูล: ทำการวิจัยและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เลือก โดยอาจต้องอ่านหนังสือ ค้นหาบทความ หรือค้นข้อมูลออนไลน์


  3. การวางโครงสร้าง: ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนบทความจริง วางโครงสร้างหรือแผนที่จะนำเสนอข้อมูลในบทความของคุณ.


  4. การเขียนบทความ: มาถึงขั้นตอนการเขียนบทความตามโครงสร้างที่คุณวางไว้ ควรใช้ภาษาที่ชัดเจนและสื่อความหมายอย่างชัดเจน เริ่มด้วยบทนำที่มีความเข้าใจและท้าทายผู้อ่าน.


  5. การแก้ไขและตรวจสอบ: เมื่อคุณเขียนเสร็จสิ้น ควรทำการแก้ไขและตรวจสอบบทความอย่างละเอียด เช็คความถูกต้องทางไวยากรณ์ สไตล์การเขียน และการอ้างอิงแหล่งข้อมูล

ส่วนที่ 2: ขั้นตอนที่ 6-9 (เขียนและประเมิน)

6. การรวมร่าง: รวมร่างบทความของเรา ในรูปแบบสมบูรณ์และเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการตีพิมพ์หรือการเผยแพร่.

  1. 7. การตีพิมพ์หรือการเผยแพร่: นำบทความของเราไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หรือเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ที่เหมาะสม หรือนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของเรา


  2. 8. การรีวิว: หลังจากเผยแพร่ ควรรีวิวและปรับปรุงบทความตามข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นจากผู้อ่านและเรียบร้อย.


  3. 9. การเรียนรู้และพัฒนา: ใช้ผลจากการเขียนบทความเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ศึกษาผลประโยชน์และข้อบกพร่องจากการเขียนบทความเพื่อปรับปรุงในครั้งถัดไป.

ข้อที่ 1-5 เป็นขั้นตอนที่เตรียมการและเสร็จสิ้นก่อนที่จะเขียนบทความ และข้อที่ 6-9 เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวกับการเขียนและประเมินหลังจากเสร็จสิ้นการเขียนค่ะ โดยสามารถตัดสินใจว่าจะทำขั้นตอนหนึ่งในแต่ละส่วนในเวลาที่เหมาะสม

เกณฑ์ในการประเมิน กิจกรรมการเขียนบทความ

หัวข้อและประโยคที่นำเสนอ (2 คะแนน): ความชัดเจนในการเลือกหัวข้อและการนำเสนอประโยคหลัก การระบุเป้าหมายหรือความตั้งใจในการเขียนบทความ เนื้อหาและข้อมูล (3 คะแนน): ความครอบคลุมและความเหมาะสมของเนื้อหา การนำเสนอข้อมูลที่มีความเป็นมาตรฐานและความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การวิเคราะห์และการอภิปราย (2 คะแนน): การวิเคราะห์หรือการอภิปรายในเนื้อหาของบทความ การนำเสนอความคิดเห็นหรือการตีความข้อมูล การนำเสนอและความเข้าใจ (2 คะแนน): ความชัดเจนในการตีความและการนำเสนอเนื้อหา การใช้ภาษาอย่างถูกต้องและความเข้าใจของผู้อ่าน การอ้างอิงและการอ้างถึงแหล่งข้อมูล (1 คะแนน): การอ้างอิงและการระบุแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง ความเหมาะสมในการอ้างถึงแหล่งข้อมูลที่ใช้ในบทความ คำเตือน: ขอให้รักษาระวังไม่คัดลอกหรือละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น การละเมิดลิขสิทธิ์อาจทำให้สูญเสียคะแนนและมีผลกระทบต่อสถานภาพการศึกษาในอนาคต ให้คิดและเขียนเป็นคำพูดของเราเองและทราบถึงเรื่องที่อ่านและใช้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างมีความรับผิดชอบในการอ้างอิงข้อมูลที่มาจากแหล่งอื่น

Saturday, January 6, 2024

การอ่านและวิเคราะห์บทความ

การอ่านและวิเคราะห์บทความ

บทคัดย่อ (Abstract)

                   บทคัดย่อควรมีความยาว 250 – 300 คำ โดยแยกต่างหากจากเนื้อเรื่อง บทความวิจัยและบทความปริทรรศน์ต้องมีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งบทคัดย่อควรเขียนให้ได้ใจความทั้งหมดของเรื่อง ไม่ต้องอ้างอิงเอกสาร รูปภาพ หรือตาราง และลักษณะของบทคัดย่อควรประกอบไปด้วย วัตถุประสงค์ (Objective) วิธีการศึกษา (Methods) ผลการศึกษา (Results) สรุป (Conclusion) และคำสำคัญ (Key Words) ซึ่งควรเรียบเรียงตามลำดับและแยกหัวข้อให้ชัดเจนดังนี้ 

        บทคัดย่อในงานวิจัยหรือบทความวิชาการเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะมันให้ภาพรวมที่รวดเร็วและชัดเจนของทั้งงานวิจัยหรือบทความ โดยทั่วไป บทคัดย่อจะต้องมีความยาวประมาณ 250 – 300 คำ และมีโครงสร้างตามที่คุณได้กล่าวมา นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละส่วนที่ควรรวมอยู่ในบทคัดย่อ:

  1. วัตถุประสงค์ (Objective): ระบุเป้าหมายหลักของการวิจัยหรือเนื้อหาของบทความ ควรชี้ให้เห็นถึงคำถามที่การวิจัยพยายามตอบหรือปัญหาที่บทความพยายามแก้ไข.


  2. วิธีการศึกษา (Methods): สรุปวิธีการวิจัยที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง การสำรวจ หรือวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนนี้ไม่ควรเข้าไปในรายละเอียดมากนัก แต่ควรให้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการวิจัย.


  3. ผลการศึกษา (Results): นำเสนอข้อพบหรือสิ่งที่การวิจัยค้นพบ ควรเน้นผลลัพธ์หลักที่สำคัญ และสามารถสรุปได้โดยไม่เข้าลึกถึงข้อมูลหรือสถิติที่ซับซ้อน.


  4. สรุป (Conclusion): ระบุสิ่งที่สามารถสรุปได้จากผลการศึกษา ควรสะท้อนถึงการตอบสนองต่อวัตถุประสงค์และคำถามการวิจัยที่กำหนดไว้ในตอนต้น.


  5. คำสำคัญ (Key Words): ระบุคำที่สำคัญที่สามารถสะท้อนถึงหัวข้อหลักและเนื้อหาของบทความหรืองานวิจัย คำเหล่านี้ควรช่วยในการค้นหาและจัดหมวดหมู่งานวิจัยในฐานข้อมูล.

– คำสำคัญ ควรมีคำสำคัญ 3-5 คำ ที่ครอบคลุมชื่อเรื่องที่ศึกษา และจะปรากฎอยู่ในส่วนท้ายของบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยต้องจัดเรียงคำสำคัญตามตัวอักษร และคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,)

1.     ส่วนเนื้อเรื่อง ควรประกอบด้วย


1. บทนำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวนำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (Review) ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่าง ๆ จากหนังสือหรือวารสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา และกล่าวถึงเหตุผลหรือความสำคัญของปัญหาในการศึกษาครั้งนี้ สมมติฐานของการศึกษา ตลอดจนวัตถุประสงค์ของการศึกษาให้ชัดเจน


2. วิธีดำเนินการวิจัย (Methods) กล่าวถึงรายละเอียดของวิธีการศึกษาประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา และวิธีการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รวมทั้งสถิติที่นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล


3. ผลการศึกษา (Results) เป็นการแสดงผลที่ได้จาการศึกษาและวิเคราะห์ในข้อ 3.2 ควรจำแนกผลออกเป็นหมวดหมู่และสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยการบรรยายในเนื้อเรื่องและแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยภาพประกอบ ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิ ตามความเหมาะสม


4. อภิปรายผล (Discussion) เป็นการนำข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์ของผู้นิพนธ์นำมาเปรียบเทียบกับผลการวิจัยของผู้อื่น เพื่อให้มีความเข้าใจหรือเกิดความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนั้น รวมทั้งข้อดี ข้อเสียของวิธีการศึกษา เสนอแนะความคิดเห็นใหม่ ๆ ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์


5. ข้อเสนอแนะ (Suggestion) การแนะแนวการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป


6. กิตติกรรมประกาศ (acknowledgements) (ถ้ามี) เป็นส่วนที่กล่าวขอบคุณต่อองค์กร หน่วยงานหรือบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือร่วมมือในการวิจัย รวมทั้งแหล่งที่มาของเงินทุนวิจัย และหมายเลขของทุนวิจัย


7. เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแทรกในเนื้อหา (Citations in text) เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ ( ) แทรกในเนื้อหา ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงแตกต่างกันตามประเภทของเอกสารหรือแหล่งที่ใช้อ้างอิง ดังนี้


การอ้างอิงแทรกในเนื้อหา (Citations in text)
1. ใช้รูปแบบการอ้างอิงแทรกในเนื้อหาแบบ APA Style (The Publication Manual of the American Psychological Association)


ขั้นตอนการเขียนบทความ ควรปฏิบัติดังนี้
        1 เลือกเรื่องที่ผู้เขียนสนใจ  มีแหล่งค้นคว้าหรือหาข้อมูลสนับสนุนงานเขียน
        2 กำหนดจุดมุ่งหมายโดยกำหนดให้ชัดเจนว่าเขียนเพื่ออะไร และเขียนให้ใครอ่าน
        3กำหนดแนวคิดสำคัญ  หรือประเด็นสำคัญ  หรือแก่นของเรื่องที่จะนำเสนอผู้อ่าน
        4 ประมวลความรู้  แนวคิด  ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง โดยค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆให้เพียงพอที่จะเขียน
        5 วางโครงเรื่อง  กำหนดแนวทางการเขียนว่าจะนำเสนอสาระสำคัญ  แยกเป็นกี่ประเด็นใหญ่ๆ  มีอะไรบ้าง ในประเด็นหลักมีประเด็นย่อย ๆ  มีตัวอย่าง มีเหตุผลเพื่อสนับสนุนประเด็นหลักอย่างไร
        6 การเขียน ควรดำเนินการดังนี้
 
              1) ขยายความข้อมูลในแต่ละประเด็น  มีการอธิบาย  ยกเหตุผลประกอบ  กล่าวถุงข้อมูลประกอบ  อาจเป็นสถิติ  ตัวเลข  ตัวอย่างเหตุการณ์  เป็นต้น
              2) เขียนคำนำและสรุปด้วยกลวิธีที่เหมาะสมกับประเภทของเนื้อหาบทความ
              3)ควรเลือกใช้ภาษาให้เหมาะกับจุดมุ่งหมายการเขียน  ประเภท และเนื้อหา
              4)ความยาวของบทความไม่ควรเกิน 10 หน้าของวารสาร
              5)ลงรูปที่จำเป็น  แต่ละรูปควรมีคำอธิบายอยู่ใต้รูปด้วยว่าเป็นอะไรใช้ทำอะไร  หรือต้องการแสดงให้เห็นอะไร
              6) เขียนคำสรุป  การเขียนไม่จำเป็นต้องขึ้นหัวข้อย่อยว่า  “สรุป” เพราะเมื่อใดที่เนื้อหาหมดหรือสิ้นสุดของบทความแล้ว ย่อมหมายถึงการสรุป 

ข้อเสนอแนะ
  1.สิ่งสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการเขียนบทความคือ  ๆไม่ท้อถอยเมื่อต้องปรับปรุงแก้ไขบทความ
  2.คนที่ไม่มีประสบการณ์เขียนควรมีที่ปรึกษาหรือเขียนเป็นทีม
  3.ผู้รับผิดชอบเรื่องการเผยแพร่ผลงานวิชาการของเรา  ควรจัดหาแหล่งเผยแพร่ หรือวารสารที่เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการแล้วประชาสัมพันธ์ให้กับเราทราบเป็นระยะ