Friday, September 17, 2010

ผลการประกวดคำประพันธ์

ตามที่ กลุ่มสาระภาษาไทย ได้จัดกิจกรรมวันแม่
และให้มีการประกวดการแต่งคำประพันธ์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นกำลังใจให้นักเรียนที่มีความตั้งใจ การตัดสินรางวัลดูจากองค์ประกอบของการส่ง และ ระยะเวลา ความหมาย และสัมผัส รวมทั้งการมีสวนร่วมในงานเขียนของตนเอง ด้วย

รางวัลชนะเลิศ (ด.ญ.นลิน จินตนาเลิศ ป6/5)
หลายปีเลี้ยงลูกมา ขอแค่ว่าเป็นคนด๊
ที่แม่นั้นค่อยตี อยากให้ดีจะได้จำ
ค่าเงินที่ส่งเส๊ย จะได้เรียนมีงานทำ
ที่แม่คอยช่วงค้ำ ลูกจะจำไปจนตาย

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ

(ด.ญ.วรันธร นิลแย้ม ป.6/2)
แม่หลวงของปวงชน เราทุกคนต่างรักใคร่
แม่นั้นคอยห่วงใย โอบอุ้มให้สามัคคี
แม่เก่งหัตกรรม ท่านชี้นำความคิดดี
สิบสองสิงหานี้ ขอแม่มีความสุขเอย

รางวัลรองชนะเลิสอันดับ 2
(ด.ญ. พุทธิตา นุพาสันต์ ป.6/4)

คือพระแห่งชีวิต ที่ลิขิตชีวิตลูก
ทั้งรักและพันผูก แม้ลูกลูกจะซุกซน
ยอมอดยอมเหนื่อยยาก แม้ลำบากก็ตามทน
สอนให้ลูกเป็นคน มีจิตใจที่ดีงาม

รางวัลชมเชย
(ด.ญ. กมลชนก บุณยทรัพยากร ป.6/5)

สิบสองสิงหาคม พระบรมราชินี
คู่บุญบารม๊ พระมหาจักรีวงศ์
ผู้ทรงเสมือนแม่ มีรักแท้และมั่นคง
ต่อปวงชนยืนยง ขอจงทรงพระเจริญ




ด.ญ.วริษา จรูญโรจน์ ณ อยุธยา ป.6/4เลขที่31

บารมีพระแม่ฟ้า มิ่งขวัญหล้าของปวงชน
แผ่ไพศาลท่วมท้น บันดาลดลพ้นผองภัย
งานเย็บปักถักสาน ทุกถิ่นฐานของเมืองไทย
หัตถกรรมงามวิไล เพื่อประชาได้ดำรง

Monday, September 13, 2010

ตารางชิ้นงาน ครั้งที่ 2/2553

นักเรียนชั้นป.6 ทุกคน วิชาภาษาไทยมีตารางชิ้นงานในเทอม 2ทั้งหมด 24 ชิ้นงาน และส่งแฟ้ม ภายในวันที่ 20 กันยายน 2553
ตารางชิ้นงานครั้งที่2(ต่อจากคะแนนวันสื่อสัมพันธ์ 20 คะแนน)
เริ่มตั้งแต่ ชิ้นงานที่ 11-24ดังนี้

1.ประกาศตั้งชมรมเกี่ยวกับวรรณคดี
2.เลือกหนังสือ
3.หาคำไทยทั้ง 7 ชนิด ชนิดละ 3 คำ
4.แต่งนิทานแนวสืบสวนสอบสวน
5.เขียนแผนภาพโครงเรื่อง “ชมรมคนรักวรรณคดี”
6.การดูสื่อ “นายพรานกับกวาง”
7.วิเคราะห์ “ชมรมคนรักวรรณคดี”
8.การย่อความ “นก
9.การดูสื่อ “สิ้นนา สิ้นชาติ
10.บันทึกการอ่านครั้งที่ 1
11.การพูด
12.การเขียนโฆษณา
13.การเดินทางของพลายน้อย
14.คำภาษาต่างประเทศ
15.การสะกดคำ (ใช้การสอบในห้องเรียน)
16.การตีความ สรุปความ
17.การเขียนเล่าเรื่องที่ประทับใจ
18.การเขียนจูงใจแก้ไขสิ่งที่ผิด
19.แต่งคำประพันธ์วันแม่

(แต่งด้วยกาพยานี 11 จำนวน 2บท)
20.สำนวนจากสื่อต่างๆ (เลือกข่าว เหตุการณ์ บทความ นิทาน ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับสำนวน)
ให้สรุปให้เห็น 3 ส่วนคือ 1.สำนวน อะไร 2.ความหมายของสำนวนนั้น และ 3.คำสำคัญ หรือประโยคสำคัญ
21.ใบเลือกหนังสือ( ครั้งที่ 2)
22.บันทึกการอ่าน(ครั้งที่๒)
23.คำราชาศัพท์
คัดลอกข่าว ข้อความเกี่ยวกับราชกรณียกิจ และถอดความเป็นคำสามัญ
24. แต่งเรื่องจากคำในพจนานุกรม (ได้จากงานที่ทำในห้องเรียนของอาจารย์ขวัญ)

Sunday, August 29, 2010

การอ่าน

การอ่าน
การอ่านเป็นการแปลความหมายของตัวอักษรที่อ่านออกมา เป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเข้าใจที่อ่านตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้เขียนที่ต้องการสื่อ
ความสำคัญของการอ่าน
๑. เป็นเครื่องมือในการเเสวงหาความรู้
๒. ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ
๓. เป็นเครื่องมือสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม
๔. ส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่าน ฉลาด รอบรู้
๕. ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ
๖. ทำให้คนมีความสมบูรณ์ทั้งทางด้านจิตใจ และบุคลิกภาพ
๗. ช่วยพัฒนาระบบการเมือง การปกครอง ศาสนา ประวัติศาสตร์ และสังคม
๘. ช่วยพัฒนาระบบการสื่อสาร และการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

ประโยชน์ของการอ่าน
๑. ทำให้มีความรู้ในวิชาการด้านต่างๆ
๒. ทำให้รอบรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์
๓. ทำให้ค้นหาคำตอบที่ต้องการได้
๔. ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน
๕. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาในการอ่าน
จุดุม่งหมายในการอ่าน
การอ่านหนังสือและสื่อแต่ละครั้งของคนเเต่ละคน มีจุดมุ่งใหมายแตกต่างกันออกไป อาจจำเเนกได้กว้างๆ ดังนี้
๑. หาความรู้ การอ่านเพื่อหาความรู้ ได้แก่
- การอ่านตำราทางวิชาการ
- งานวิจัย
- สารคดีทางวิชาการ
- อ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
๒. หาความบันเทิง การอ่านเพื่อความบันเทิง ได้แก่
- อ่านสารคดีท่องเที่ยว
- นวนิยาย เรื่องสั้น
- การ์ตูน
- บทประพันธ์
๓. เพื่อทราบข่าวสารความคิด การอ่านเพื่อทราบข่าวสาร ความคิด ทำให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น ช่วยให้มีเหตุผลประกอบการวิจารณ์ได้แก่
- อ่านบทความ บทวิจารย์
- ข่าว
- รายงานการประชุม
๔. เพื่อจุดประสงค์เฉพาะเเต่ละครั้ง การอ่านเพื่อจุดประสงค์เเต่ละครั้ง เป็นการอ่านที่ไม่ได้เจาะจง เเต่เป็นความสนใจ หรือความอยากรู้ เป็นครั้งคราว ได้แก่
- อ่านป้ายโฆษณา
- ฉลากยา
- อ่านเเผ่นพับประชาสัมพันธ์
- ข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง
- อ่านสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง

ที่มาและได้รับอนุญาตจาก :
เอกรินทร์ สี่มหาศาล และคณะ. ภาษาไทย ป.๖. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.

Sunday, August 15, 2010

เครื่องหมายวรรคตอน

การใช้เครื่องหมายวรรคตอน
เครื่องหมายวรรคตอน คือ เครื่องหมายที่ใช้เขียนกำกับคำ กลุ่มคำ ประโยค หรือข้อความให้เด่นชัดเพื่อให้อ่านได้ถูกต้อง และช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายได้ชัดเจนขึ้น
เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาไทย มีดังนี้
1. มหัพภาค ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน มีรูปดังนี้ .
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
1. ใช้เพื่อแสดงว่าจบประโยคหรือจบความ เช่น
กรี น. กระดูกแหลมที่หัวกุ้ง.
2. ใช้เขียนไว้หลังตัวอักษร เพื่อแสดงว่าเป็นอักษรย่อ เช่น
ม.ค. คำเต็มว่า มกราคม
3. ใช้เขียนไว้ข้างหลังตัวอักษรหรือตัวเลขที่บอกลำดับข้อ เช่น
1. ก. หรือ 1. 1.
ข. 2.
ในกรณีที่มีหัวข้อย่อย ให้ใส่ลำดับข้อย่อยไว้หลังจุด เช่น
1.1 อ่านว่า หนึ่งจุดหนึ่ง
1.10 อ่านว่า หนึ่งจุดสิบ
4.1.12 อ่านว่า สี่จุดหนึ่งจุดสิบสอง
4. ใช้คั่นระหว่างชั่วโมงกับนาทีเพื่อบอกเวลา เช่น
9.30 น. อ่านว่า เก้านาฬิกาสามสิบนาที
5. ใช้เป็นจุดทศนิยม แล้วจุดทศนิยมให้อ่านตัวเลขเรียงกันไป เช่น
2.345 อ่านว่า สองจุดสามสี่ห้า
10.75 วินาที อ่านว่า สิบจุดเจ็ดห้าวินาที
4.567 เมตร อ่านว่า สี่จุดห้าหกเจ็ดเมตร
ยกเว้น ในกรณีเงินตรา ถ้าอ่านเป็นหน่วยเงินตราได้ ให้อ่านตามหน่วยเงินตรานั้น เช่น
10.50 บาท อ่านว่า สิบบาทห้าสิบสตางค์
7.75 ดอลลาร์ อ่านว่า เจ็ดดอลลาร์เจ็ดสิบห้าเซนต์
2. จุลภาค ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ,
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
1. ใช้คั่นจำนวนเลขนับจากหลักหน่วยไปทีละ 3 หลัก เช่น
1,500 อ่านว่า หนึ่งพันห้าร้อย
2,350,000 อ่านว่า สองล้านสามแสนห้าหมื่น
2. ใช้แยกวลีหรืออนุประโยคเพื่อกันความเข้าใจสับสน เช่น
นายเทิดศักดิ์ที่นั่งคู่กับนางยุพดี, เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
3. ใช้คั่นคำในรายการที่เขียนต่อ ๆ กัน ตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป โดยเขียนคั่นแต่ละรายการ ส่วนหน้าคำ "และ" หรือ "หรือ" ที่อยู่หน้ารายการสุดท้ายไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมายจุลภาค เช่น
พระรัตนตรัย คือ แก้ว 3 ประการ หมายถึง พระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์
4. ใช้ในการเขียนบรรณานุกรม ดรรชนี และนามานุกรม เช่น
คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว.
5. ใช้ในหนังสือประเภทพจนานุกรมเพื่อคั่นความหมายของคำที่มีความหมายหลาย ๆ อย่าง เช่น บรรเทา ก. ทุเลหรือทำให้ทุเลา, ผ่อนคลายหรือทำให้ผ่อนคลายลง

3. วงเล็บ หรือ นขลิขิต ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ( )
มีหลักเกณท์การใช้ดังต่อไปนี้
1. ใช้กันข้อความที่ขยายหรืออธิบายไว้เป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เข้าใจข้อความนั้นได้แจ่มแจ้งขึ้น เช่น มนุษย์ได้สร้างโลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลงผิด)
ให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง
2. ใช้กันข้อความที่บอกที่มาของคำหรือข้อความ เช่น
ชลี (กลอน) ก. อัญชลี, ไหว้
3. ใช้กับหัวข้อที่เป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งอาจจะใช้เพียงเครื่องหมายวงเล็บปิดก็ได้ เช่น
(ก) หรือ ก) (ข) หรือ 1)
4. ใช้กับนามเต็มที่เขียนใต้ลายมือชื่อ เช่น
วัชรพงศ์ โกมุทธรรมวิบูลย์
(นายโกมุท โกมุทธรรมวิบูลย์)
การอ่านออกเสียงข้อความที่มีเครื่องหมายวงเล็บ มีวิธีการอ่านหลายวิธี สุดแท้แต่กาละเทศะ โอกาสหรือจุดประสงค์ของการสื่อสาร เช่น ถ้าจะอ่านเพื่อให้ผู้ฟังจดจำไว้ให้ถูกต้อง ถ้าเป็นข้อความสั้น ๆ ควรอ่านว่า "วงเล็บ" ตัวอย่าง
พระยาศรีสุนทรโวหาร (ภู่) อ่านว่า พระยาศรีสุนทรโวหารวงเล็บภู่ หรือ พระยาศรีสุนทรโวหารภู่ ก็ได้
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) อ่านว่า พระยาศรีสุนทรโวหาร วงเล็บน้อยอาจาริยางกูร
ถ้าข้อความนั้นยาวมาก ให้อ่านว่า "วงเล็บเปิด" แล้วอ่านข้อความในวงเล็บจนจบ แล้วอ่านว่า "วงเล็บปิด" หรืออาจเสริมข้อความว่า "ต่อไปนี้เป็นข้อความในวงเล็บ" เมื่ออ่านหมดข้อความก็อ่านว่า "หมดข้อความในวงเล็บ" ก็ได้
4. ยัติภังค์ ชื่อเคริ่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ -
อาจใช้ได้หลายขนาด แต่ไม่ควรเกิน 2 ช่องตัวอักษร
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
1. ใช้เขียนไว้ที่สุดบรรทัดเพื่อต่อพยางค์หรือคำสมาส ซึ่งจำเป็นต้องเขียนแยกบรรทัดกัน เนื่องจากมาอยู่ตรงสุดบรรทัด และไม่มีที่พอจะบรรจุคำเต็มได้

2. ใช้เขียนไว้ท้ายวรรคหน้าในบทร้อยกรอง เพื่อต่อพยางค์หรือคำสมาส ที่จำเป็นต้องเขียนคาบบรรทัดกัน เพื่อให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เช่น
คนเด็ดดับสูญสัง- ขารร่าง
3. ใช้แยกพยางค์เพื่อบอกคำอ่าน โดยเขียนไว้ระหว่างพยางค์แต่ละพยางค์ เช่น
เสมา อ่านว่า เส-มา
4. ใช้ในความหมายว่า "และ" หรือ "กับ" เช่น
เชิญชมการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างทีม นครสวรรค์ - พิจิตร (กับ)
ภาษาตระกูลไทย - จีน (และ)
5. ใช้ในความหมายว่า "ถึง" เพื่อแสดงช่วงเวลา จำนวน สถานที่ (เวลาเขียนหรือพิมพ์ให้เว้นหน้าและหลังเครื่องหมาย - ประมาณ 1 ช่วงตัวอักษร) เช่น
เวลา 9.00 - 10.30 น. อ่านว่า เวลาเก้านาฬิกาถึงสิบนาฬิกาสามสิบนาที
มีผู้ชมประมาณ 10- 20 คน อ่านว่า มีผู้ชมประมาณสิบถึงยี่สิบคน
ระยะทาง นครนายก - จันทบุรี อ่านว่า ระยะทางนครนายกถึงจันทบุรี
6. ใช้เขียนแสดงลำดับย่อยของรายการที่ไม่ต้องใส่ตัวอักษร หรือตัวเลขนอกลำดับงาน มีรายการคร่าว ๆ ดังนี้
- พิธีเปิดงาน - รำอวยพร
- ดนตรีบรรเลง - ปิดงาน
5. อัญประกาศ ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ " "
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
1. ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้น เป็นคำพูดหรือความนึกคิด เช่น ครูพูดกับนักเรียนว่า " ขอให้ทุกคนตั้งใจจริง แล้วจะประสบความสำเร็จ "
2. ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้นคัดมาจากที่อื่น เช่น
สุนทรภู่เขียนเตือนใจเรื่องความมีไมตรีต่อกันไว้ในเรื่องพระอภัยมณีตอนหนึ่งว่า
" ปรารถนาสารพัดในปัถพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง "
3. ใช้เพื่อเน้นคำหรือข้อความนั้นให้เด่นชัดขึ้น เช่น
คำว่า "ตะโก้" พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง " ชื่อขนมชนิดหนึ่งทำด้วยแป้งข้าวเจ้ากวนเข้ากับน้ำตาล ใส่แห้วหรือข้าวโพดเป็นต้นก็ได้ หยอดหน้าด้วยกะทิกวนกับแป้ง "
ในการอ่านออกเสียง เมื่อมีเครื่องหมายอัญประกาศเปิดให้อ่านว่า "อัญประกาศเปิด" และเมื่อถึงเครื่องหมายอัญประกาศปิดให้อ่านว่า "อัญประกาศปิด"
ถ้าข้อความในเครื่องหมายอัญประกาศมีความยาวหลายย่อหน้าและใส่เครื่องหมายอัญประกาศเปิด ไว้หน้าย่อหน้าทุกย่อหน้าดังตัวอย่าง ให้อ่าน "อัญประกาศเปิด" เฉพาะเมื่อเริ่มข้อความเท่านั้น และอ่าน "อัญประกาศปิด" เมื่อจบข้อความ
6. ปรัศนี ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ?
มีหลักเกณท์การใช้ดังต่อไปนี้
1. ใช้เมื่อสิ้นสุดความหรือประโยคที่เป็นคำถาม เช่น
ทำไมเธอถึงมาโรงเรียนสาย?
2. ใช้หลังข้อความเพื่อแสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจ มักเขียนอยู่ในวงเล็บ เช่น
กฤษฎาธาร (กริดสะดาทาน) น. พระทีนั่งที่ทำขึ้นสำหรับเกียรติยศ (?)
7. อัศเจรีย์ ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ !
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
1. ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยคที่เป็นคำอุทาน เช่น
อื้อฮือ ! มากจังเลย
2. ใช้เขียนหลังคำเลียนเสียงธรรมชาติ เพื่อให้ผู้อ่านทำเสียงได้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในเรื่องนั้น ๆ เช่น โครม !
8. ไม้ยมก หรือ ยมก ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ๆ
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้อ่านซ้ำคำ วลี หรือประโยค อีกครั้งหนึ่ง ตัวอย่าง
1. เด็กเล็ก ๆ อ่านว่า เด็กเล็กเล็ก
2. ในวันหนึ่ง ๆ อ่านว่า ในวันหนึ่งวันหนึ่ง
3. แต่ละวัน ๆ อ่านว่า แต่ละวันแต่ละวัน
หมายเหตุ
1. คำที่เป็นคำซ้ำ ต้องใช้ไม้ยมก หรือยมก (ๆ) เสมอเช่น สีดำๆ เด็กตัวเล็ก ๆ
2. ห้ามใช้ไม้ยมก หรือยมก (ๆ) ในกรณีดังต่อไปนี้
2.1 เมื่อเป็นคำคนละบท คนละความ เช่น
"ฉันจะไปปทุมวัน ๆ นี้" ผิด ต้องเขียนเป็น "ฉันจะไปปทุมวันวันนี้"
2.2 เมื่อรู้คำเดิมเป็นคำ 2 พยางค์ ที่มีเสียงซ้ำกัน เช่น
นานา เช่น นานาชาติ นานาประการ
2.3 เมื่อเป็นคำคนละชนิดกัน เช่น
คนคนนี้มีวินัย (คน คำแรกเป็นคำสามานยนาม คน คำหลังเป็นลักษณนาม)
2.4 เมื่อเป็นคำประพันธ์ เช่น
หวั่นหวั่นจิตคิดคิดครวญครวญหา
คอยคอยหายหลายหลายนัดผัดผัดมา
9. ไปยาลน้อย หรือ เปยยาลน้อย ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ฯ มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
1. ใช้ละคำที่รู้กันดีแล้วโดยละส่วนท้ายไว้เหลือแต่ส่วนหน้าของคำพอเป็นที่เข้าใจ เช่น
กรุงเทพฯ คำเต็มคือ กรุงเทพมหานคร
2. ใช้ละส่วนท้ายของวิสามานยนาม ซึ่งได้กล่าวมาก่อนแล้ว เช่น
มหามกุฎราชวิทยาลัย เขียนเป็น มหามกุฎฯ
หมายเหตุ
ก. สำหรับคำที่เป็นแบบแผน (ดังปรากฎในข้อ 1) ในเวลาอ่านจะต้องอ่านเต็มจึงจะนับว่าอ่านถูกต้อง
ข. ถ้าไม่ใช่คำที่เป็นแบบแผน (ดังปรากฎในข้อ 2) จะอ่านเต็มหรือไม่ก็ได้
3. คำว่า " ฯพณฯ " อ่านว่า "พะนะท่าน " ใช้เป็นคำหน้าชื่อ หรือตำแหน่งข้าราชการผู้ใหญ่ ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีขึ้นไปและเอกอัครราชทูต เป็นต้น
เช่น ฯพณฯ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
10. ไปยาลใหญ่ หรือ เปยยาลใหญ่ ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ฯลฯ มีหลักเกณท์การใช้ดังต่อไปนี้
1. ใช้สำหรับละข้อความข้างท้ายที่อยู่ในประเภทเดียวกันซึ่งยังมีอีกมาก แต่ไม่ได้นำมาแสดงไว้ เช่น สิ่งของที่ซื้อขายกันในตลาดมี เนื้อสัตว์ ผัก น้ำตาล น้ำปลา ฯลฯ
การอ่านเครื่องหมายไปยาลใหญ่หรือเปยยาลใหญ่ที่อยู่ข้างท้ายข้อความให้อ่านว่า "ละ" หรือ "และอื่น"
2. โบราณใช้ละคำหรือข้อความที่อยู่ตรงกลางก็ได้ โดยบอกตอนต้นและตอนจบไว้ เช่น
พยัญชนะไทย 44 ตัว มี ก ฯลฯ ฮ
การอ่านเครื่องหมายไปยาลใหญ่ ที่อยู่ตรงกลางข้อความ อ่านว่า "ละถึง"
11. ไข่ปลาหรือจุดไข่ปลา ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน รูปดังนี้ ....
มีหลัเกณท์การใช้ดังต่อไปนี้
1. ใช้สำหรับละข้อความที่ไม่จำเป็นหรือไม่ต้องการกล่าวเพื่อจะชี้ว่า ข้อความที่นำมากล่าวนั้นตัดตอนมาเพียงบางส่วน ใช้ได้ทั้งตอนขึ้นต้น ตอนกลาง และตอนท้ายข้อความ โดยใช้ละด้วยจุดอย่างน้อย 3 จุด เช่น
" ...ภาษาไทยนั้นเป็นเเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือ เป็นทางสำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งสวยงามอย่างหนึ่ง เช่นในทางวรรณคดี เป็นต้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเองซึ่งต้องหวงแหน ... เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ..."
พระราชดำรัส ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่ชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2505
2. ในบทร้อยกรอง ถ้าละข้อความตั้งแต่1 บรรทัดขึ้นไป ให้ใช้เครื่องหมายไข่ปลา หรือ จุดไข่ปลา ยาวตลอดบรรทัด เช่น
เรื่อยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่ำ
สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตราตรู
..............................................................................
ปักษีมีหลายพรรณ บ้างชมกันขันเพรียกไพร
ยิ่งฟังวังเวงใจ ล้วนหลายหลากมากภาษา
ในการอ่านออกเสียง เมื่อมีเครื่องหมายไข่ปลา หรือ จุดไข่ปลา ตามตัวอย่างข้างต้นควรหยุดเล็กน้อยก่อน แล้วจึงอ่านว่า "ละ ละ ละ" แล้วหยุดเล็กน้อยก่อนอ่านข้อความต่อไป
12. สัญประกาศ ชื่อเครื่องหมายวรรคตอนรูปดังนี้ ___
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้คือ ใช้ขีดไว้ใต้คำหรือข้อความที่สำคัญ เพื่อเน้นให้ผู้อ่านสังเกตเป็นพิเศษ เช่น
หลักการอ่านตัวเลขมีตีพิมพ์รวมอยู่ในหนังสืออ่านอย่างไร-เขียนอย่างไร
13. บุพสัญญา ชื่อเครื่องหมายวรรคตอนรูปดังนี้ "
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้คือ ใช้แทนคำหรือข้อความที่อยู่บรรทัดบนเพื่อไม่ต้องเขียนซ้ำอีก แต่เวลาอ่านต้องอ่านซ้ำคำหรือข้อความข้างบนนั้นด้วย
ถ้าเป็นคำคำเดียวหรือเป็นข้อความไม่ยาวนัก ให้ใส่เครื่องหมาย 1 ตัวแต่ถ้าเป็นข้อความยาว จะใส่เครื่องหมายเกิน 1 ตัวก็ได้ เช่น
ขันน้ำพลาสติก จำนวน 3 ใบ ใช้ตักน้ำอาบและดื่มเวลาเช้า
" อลูมิเนียม " 4 ใบ " " เย็น
14. ทับ ชื่อเครื่องหมายวรรคตอนรูปดังนี้ /
อ่าน "ทับ" เวลาเขียนไม่ต้องเว้นวรรคหน้าและหลังเครื่องหมาย
มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้
1. ใช้ขีดหลังจำนวนเลข เพื่อแบ่งจำนวนย่อยออกจากจำนวนใหม่ ส่วนมากเป็นบ้านเลขที่ และหนังสือราชการ สำหรับการอ่านบ้านเลขที่ มีหลักการอ่านดังนี้
บ้านเลขที่ที่มีเครื่องหมายทับ "/" และบ้านเลขที่ที่ไม่มีเครื่องหมายทับ "/" มีหลักการอ่านเหมือนกันคือ บ้านเลขที่ซึ่งมีตัวเลข 2 หลัก ให้อ่านแบบจำนวนเต็ม ถ้ามีตัวเลข 3 หลักขึ้นไป ให้อ่านแบบเรียงตัวเลขหรือแบบจำนวนเต็มก็ได้ ตัวเลขหลังเครื่องหมายทับ "/" ให้อ่านเรียงตัว เช่น
บ้านเลขที่ 10 อ่านว่า บ้าน - เลก - ที่ สิบ
บ้านเลขที่ 414 อ่านว่า บ้าน - เลก - ที่ สี่ - หนึ่ง - สี่ หรือ บ้าน - เลก - ที่สี่ - ร้อย -สิบ - สี่
บ้านเลขที่ 56/342 อ่านว่า บ้าน - เลก - ที่ ห้า - สิบ - หก ทับ สาม - สี่ - สอง
บ้านเลขที่ 657/21 อ่านว่า บ้าน - เลก - ที่ หก - ห้า - เจ็ด ทับ สอง - หนึ่ง หรือ
บ้าน - เลก - ที่ หก - ร้อย - ห้า - สิบ - เจ็ด ทับ สอง - หนึ่ง
กลุ่มตัวเลขที่เลข 0 นำหน้า อ่านเรียงตัวเสมอ เช่น
บ้านเลขที่ 1864/1108
อ่านว่า บ้าน -เลก -ที่ สูน - แปด - หก - สี่ ทับ หนึ่ง - หนึ่ง - สูน - แปด
ส่วนหนังสือราชการนิยมอ่านเรียงตัว เช่น
ที่ ศธ 0308/205
อ่านว่า ที่ - สอ - ทอ - สูน - สาม - สูน - แปด ทับ สอง - สูน - ห้า
2. ใช้ขีดคั่นระหว่างเลขบอกลำดับศักราช เช่น
คำสั่งโรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม ที่ 1/2543
3. ใช้ขีดคั่นระหว่างตัวเลขแสดงวัน เดือน ปี เช่น 3/12/2543 (วันที่ 3 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2543)
4. ใช้ขีดคั่นระหว่างคำ "และ" กับ "หรือ" เป็น "และ/หรือ" หมายความว่า อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้
"....ใช้ผสมและ / หรือโรยบนผิวหน้าวัสดุที่ทำเครื่องหมายบนผิวทาง..."
5. ใช้ขีดคั่นระหว่างคำ แทนคำว่า "หรือ" หมายความว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
ตรอก/ซอย, อำเภอ/เขต
6. ใช้ขีดคั่นระหว่างคำ มีความหมายว่า "ต่อ" เช่น กิโลเมตร/ชั่วโมง





(ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ" คู่มือเตรียมสอบภาษาไทยป.6 เข้าม.1และ NT" วัชรพงศ์ โกมุทธรรมวิบูลย์และคณะ สำนักพิมพ์พัฒนาศึกษา)

Tuesday, August 10, 2010

การอ่าน และการสะกดคำ ช่วยให้จำได้ง่าย

จุดประสงค์ คือช่วยให้นักเรียน จำไปใช้ได้ง่าย และใช้ได้ถูกต้อง
ไตรยางศ์

อักษรกลาง ๙ ตัว
ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ
ท่องแบบไม่ทำภาษาไทยวิบัติ ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง

อักษรสูง ๑๑ ตัว ข ฃ ฉ ถ ฐ ฝ ผ ศ ษ ส ห
ท่องแบบไม่ทำภาษาไทยวิบัติ ข้าวสารของฉันถูกฐานฝูงผึ้งเสียหาย ท่องแบบภาษาไทยวิบัติเล็กน้อย
แต่ตัวอักษรครบข้าวฃองฉันถูกฐานฝูงผึ้งศูนย์สิ้นเษียหาย

อักษรต่ำ แบ่งเป็นอักษรเดี่ยว ๑๐ ตัว ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬอัน
อักษรครบ งูใหญ่นอนอยู่ ณ ริมวัดโมฬีโลก

อักษรคู่ ๑๔ ตัวค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ
ท่องแบบไม่ทำภาษาไทยวิบัติ พ่อค้าฟันทองซื้อช้างฮ้อ
ท่องแบบภาษาไทยวิบัติเล็กน้อย แต่ตัวอักษรครบภวกพ่อค้าเฒ่าฟันฑองฌวนฅนทำธงซื้อช้างฆู่เฮง

คำเป็นคำตาย
คำตายคำที่สะกดด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา และ คำที่มีตัวสะกด ก ด บ (ท่องว่า เด็กบ้า)
คำเป็นสระเสียงยาวในแม่ ก กา รวมทั้ง อำ ไอ ใอ เอา และ คำอื่นที่ไม่ได้มีตัวสะกด ก ด บ

การผันอักษร
อักษรกลางคำเป็นผันเช่นไม้
คำตายไซร้ไร้สามัญพึงสำนึก
สูงคำเป็นผันเช่นไรอย่าสะอึก
ลองตรองตรึกคู่ต่ำคำใดมี

คา ข่า ข้า ค่า ค้า ขา น่าสังเกต
มิตรงเจตอักษรต่ำคำเป็นนี่
ผันรูปเอกได้เสียงโท โทเสียงตรี
สูงตายมีใช้พื้นเสียงเอกเท่านั้น

อักษรต่ำคำตายนี้ยิ่งแปลก
ยังแบ่งแยกเสียงสระยาวแลสั้น
ยาวพื้นโท โทเสียงตรี นี้สำคัญ
คำเสียงสั้น พื้นเสียงตรี เอกเสียงโท

หรือจำว่า
อักษรกลางคำเป็น : ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า
อักษรกลางคำตาย : กัด กั้ด กั๊ด กั๋ด
อักษรสูงคำเป็น : ขา ข่า ข้าอักษรสูงคำตาย เช่น สัตว์ ขีด
อักษรต่ำคำเป็น : คา ค่า ค้าอักษรต่ำคำตายเสียงยาว : มีด มี้ด
อักษรต่ำคำตายเสียงสั้น : ค่ะ คะ


คำที่ใช้สระใอ ไม้ม้วน

ผู้ ใหญ่ ซื้อผ้า ใหม่
ให้ สะใภ้ ใช้ คล้องคอ
ใฝ่ ใจ เอา ใส่ ห่อ
มิหลง ใหล ใคร ขอดู
จะ ใคร่ ลงเรือ ใบ
ดูน้ำ ใส และปลาปู
สิ่ง ใด อยู่ ใน ตู้
มิ ใช่ อยู่ ใต้ ตั่งเตียง
บ้า ใบ้ ถือ ใย บัว
หูตามัวมา ใกล้ เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง
ยี่สิบม้วนจำจงดี

คำที่ใช้ บัน นำหน้า
(นอกจากนี้ใช้ บรร)
บันดาลลงบันได
บันทึกให้ดูจงดี
รื่นเริงบันเทิงมี
บันลือลั่นสนั่นดัง
บันโดย บันโหยไห้
บันเหินไปจากรวงรัง
บันทึงถึงความหลัง
บันเดินนั่งนอนบันดล
บันกวดเอาลวดรัด
บันจวบจัดตกแต่งตน
คำ " บัน " นั้นฉงน
ระวังปนกับ "ร หัน"

Tuesday, July 20, 2010

รายงานชิ้นงานภาษาไทย

ลำดับที่ ชื่อชิ้นงาน
1. ประกาศตั้งชมรมเกี่ยวกับวรรณคดี
2. เลือกหนังสือ
3. หาคำไทยทั้ง 7 ชนิด ชนิดละ 3 คำ
4. แต่งนิทานแนวสืบสวนสอบสวน
5. เขียนแผนภาพโครงเรื่อง “ชมรมคนรักวรรณคดี”
6. การดูสื่อ “นายพรานกับกวาง”
7. วิเคราะห์ “ชมรมคนรักวรรณคดี”
8. การย่อความ “นก
9. การดูสื่อ “สิ้นนา สิ้นชาติ
10. บันทึกการอ่าน
11. การพูด
12. การเขียนโฆษณา
13. การเดินทางของพลายน้อย
14. คำภาษาต่างประเทศ
15. การสะกดคำ
16. การหาคำราชาศัพท์ จาก เอกสารสิ่งพิมพ์ ( ให้นักเรียน มาเขียนใหม่โดยใช้คำสามัญ)

Tuesday, May 18, 2010

หลักภาษาไทย

ชนิดของคำไทย

คำในภาษาไทยจำแนกได้ 7 ชนิดคือ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำบุรำบท คำสันธาน และคำอุทาน

คำนาม

คือคำที่ใช้เรียนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ เช่น ครู นักปลา ดินสอโต๊ะ บ้าน โรงเรียน แบ่ง 5 ชนิด ได้แก่
1. สามานยนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อทั่ว ๆ ไป เช่นหนู ไก่ โต๊ะ บ้าน คน
2. วิสามานนาม เป็นชื่อเฉพาะ เช่น นายทอง เจ้าดำ ชื่อวัน ชื่อเดือน ชื่อจังหวัด ชื่อประเทศ ชื่อแม่น้ำ ชื่อเกาะ
3. สุหนาม นามที่เป็นหมู่คณะ เช่น ฝูง โขลง กลอง หรือคำที่มีความหมายไปในทางจำนวนมาก เช่น รัฐบาล องค์กร กรม บริษัท
4. ลักษณนาม เป็นคำนามที่บอกลักษณะของนาม มักใช้หลังคำวิเศษที่บอกจำนวนนับ เช่น ภิกษุ 4 รูป นาฬิกา 4 เรือน
5. อาการนาม คือ นามที่เป็นชื่อกริยาอาการในภาษามักใช้คำว่า “การ” และ “ความ” นำหน้า เช่น การนั่งการกิน ความดี ความจน
คำนามที่อยู่ในประโยคจะทำหน้าที่ได้ทั้งเป็นประธานและกริยาของประโยค เช่น
ประโยค ประธาน กริยา กรรม
ม้าวิ่ง ม้า วิ่ง -
นักเรียนไปโรงเรียน นักเรียน ไป โรงเรียน
แมวจับหนู แมว จับ หนู
ครูทำโทษสมชาย ครู ทำโทษ สมชาย

คำสรรพนาม
คำสรรพนาม คือคำที่ใช้แทนคำนาม เช่น ผม ฉัน หนู เธอ คุณข้าพเจ้า เขา ท่าน มัน เป็นต้น แบ่งเป็น 6 ชนิดได้แก่
1. บุรุษสรรพนาม คือคำนามที่ใช้แทนชื่อ เวลาพูดกัน
บุรุษที่ 1 ใช้แทนผู้พูด เช่นผมฉัน ข้าพเจ้า
บุรุษที่2 ใช้แทนผู้ฟัง เช่นคุณ เธอ
บุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้กล่าวถึง เช่นเขา มัน
2. ประพันธสรรพนาม คือคำสรรพนามที่ใช้แทน(เชื่อม)คำนามที่อยู่ข้างหน้า ได้แก่ คำว่า ที่ ซึ่ง อัน เช่น
คนที่ออกกำลังกายเสมอร่างการมักแข็งแรง
อเมริกาซึ่งเป็นเจ้าภาพแข่งขันชกมวยกำลังมีชื่อเสียงทั่วโลก
มีดอันที่อยู่ในครัวคมมาก
3. นิยมสรรพนาม ได้แก่สรรพนามที่กำหนดความให้รู้แน่นอนได้แก่ นี่ นั่น โน่น หรือ นี้ นั้น โน้น เช่น
นี่เป็นเพื่อนของฉัน
นั่นอะไรน่ะ
โน่นของเธอ
ของเธออยู่ที่นี่
4. อนิยมสรรพนาม ได้แก่สรรพนามที่แทนสิ่งที่ไม่ทราบ คือไม่ชี้เฉพาะลงไปและไม่ได้กล่าวในเชิงถาม หรือสงสัย ได้แก่ ใคร อะไร ไหน ใด เช่น
ใครขยันก็สอบไล่ได้
เขาเป็นคนที่ไม่สนใจอะไร
5. ปฤจฉสรรพนาม ได้แก่สรรพนามใช้เป็นคำถาม ได้แก่คำ อะไร ใคร ที่ไหน แห่งใด ฯลฯ เช่น
ใครอยู่ที่นั่น
อะไรเสียหายบ้าง
ไหนละโรงเรียนของเธอ
6. วิภาคสรรพนาม หมายถึงคำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามซึ่งแสดงให้เห็นว่านามนั้น จำแนกออกเป็นหลายส่วน ได้แก่ ต่างบ้าง กัน เช่น
นักเรียนต่างก็อ่านหนังสือ
เขาตีกัน
นักเรียนบ้างเรียนบ้างเล่น
คำกริยา
คำกริยา คือ คำแสดงอาการของนาม สรรพนาม แสดงการกระทำของประโยค เช่น เดิน วิ่ง เรียน อ่าน นั่ง เล่น เป็นต้น แบ่งเป็น 4 ชนิด
1. สกรรมกริยา คือคำกริยาที่ต้องมีกรรมรับ เช่น
ฉันกินข้าว
เขาเห็นนก
2. อกรรกริยา คือคำกริยาที่ไม่ต้องมี่กรรมมารับก็ได้ความสมบูรณ์ เช่น
เขานั่ง
เขายืน
3. วิกตรรถกริยา คือ คำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความต้องมีคำอื่นมาประกอบจึงจะได้ความ ได้แก่ เหมือน เป็น คล้าย เท่า คือ เช่น
ผมเป็นนักเรียน
คนสองคนนี้เหมือนกัน
ลูกคนนี้คล้ายพ่อ
ส้ม 3 ผลใหญ่เท่ากัน
เขาคือครูของฉันเอง
4. กริยานุเคราะห์ คือคำกริยามี่ไม่มีความหมายในตัวเอง ทำหน้าที่ช่วยกริยาให้มีความหมายชัดเจนขึ้นได้แก่คำ จง กำลัง จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เช่น
แดงจะไปโรงเรียน
เขาถูกตี
รีบไปเถอะ
คำวิเศษณ์
เป็นคำที่ใช้ประกอบคำนาม สรรพนาม กริยา และคำวิเศษณ์ เพื่อให้ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น คนอ้วนต้องเดินช้า คนผอมเดินเร็ว ( ประกอบคำนาม " คน " )
เขาทั้งหมด เป็นเครือญาติกัน ( ประกอบคำสรรพนาม " เขา " )
เขาเป็นคนเดินเร็ว ( ประกอบคำกริยา " เดิน "
คำวิเศษณ์ แบ่งออกเป็น 10 ชนิดคือ
1. ลักษณะวิเศษณ์ บอกลักษณะ เช่น สูง ใหญ่ ดำ อ้วน ผอม แคบ หวาน เค็ม กว้าง
2. กาลวิเศษณ์ บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น ดึก เดี๋ยวนี้ โบราณ
3. สถานวิเศษณ์ บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง
4. ประมาณวิเศษณ์ บอกจำนวน เช่น หนึ่ง สอง น้อย มาก ทั้งหมด ทั้งปวง บรรดา
5. นิยมวิเศษณ์ บอกความแน่นอน เช่น นี่ นี้ โน่น นั้น
6. อนิยมวิเศษณ์ บอกความไม่แน่นอน เช่น กี่ อันใด ทำไม อะไร ใคร
- กี่คนก็ได้
- ใครทำก็ได้
- เป็นอะไรก็เป็นกัน
- คนอื่นไม่รู้ไม่เห็น
7. ปฤจฉาวิเศษณ์ บอกความเป็นคำถาม เช่น
- แม่จะไปไหน
- เธออายุเท่าไร
- แกล้งเขาทำไม
- ไยจึงไม่มา
8. ประติชฌาวิเศษณ์ (บอกการตอบรับ) มีคำว่า คะ ครับ จ้ะ จ๋า ขา ฯลฯ
9. ประติเศษวิเศษณ์ แสดงความปฏิเสธ เช่น ไม่ ไม่ใช่ หามิได้ บ่
10. ประพันธวิเศษณ์ แสดงหน้าที่เชื่อมประโยค เช่น ที่ ซึ่ง อัน
- เขาพูดอย่างที่ใคร ๆ ไม่คาดคิด
- เธอเดินไปหยิบหนังสือซึ่งอยู่บนโต๊ะ
- ของมีจำนวนมากอันมิอาจนับได้
หน้าที่ของคำวิเศษณ์
หน้าที่ของคำวิเศษณ์ใช้เป็นส่วนขยายจะขยายนาม สรรพนาม กริยา หรือ คำวิเศษณ์ และยังทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยคได้แก่
1. ทำหน้าที่ขยายนาม
คนหนุ่มย่อมใจร้อนเป็นธรรมดา
บ้านใหญ่หลังนั้นเป็นของผม
2. ทำหน้าที่ขยายสรรพนาม
ใครบ้างจะไปทำบุญ
ฉันเองเป็นคนเข้ามาในห้องน้ำ
3. ทำหน้าที่ขยายคำกริยา
เขาพูดมาก กินมาก แต่ทำน้อย
เมื่อคืนนี้ฝนตกหนัก
4. ทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์
ฝนตกหนักมาก
เธอวิ่งเร็วจริงๆ เธอจึงชนะ

คำบุพบท
คำบุพบท คือ คำนำหน้านาม สรรพนาม หรือกริยาที่ทำหน้าที่อย่างนาม เพื่อเชื่อมคำนั้นๆ กับคำข้างหน้า เพื่อบอกว่านาม สรรพนาม หรือ กริยา ที่ทำหน้าที่ อย่างนามนั้นมีหน้าที่อะไร ขนิดของคำบุพบทมีดังนี้คำที่ใช้นำหน้าคำอื่นแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ
1. ไม่เชื่อมกับบทอื่น ได้แก่ คำทักทาย หรือร้องเรียน เช่น ดูกร ข้าแต่ อันว่า แน่ะ เฮ้ย
2. เชื่อมกับบทอื่น ได้แก่ โดย ของ บน
- พวกเราเดินทางโดยรถยนต์
- ขนมเหล่านั้นเป็นของคุณแม่
- นกเกาะอยู่บนต้นไม้
- เขาเดินไปตามถนน
- ฉันเขียนหนังสือด้วยปากกา
- เขามาถึงตั้งแต่เช้า
- ในหลวงทรงเป็นประมุขแห่งชาติ
- เขาบ่นถึงเธอ
- นักโทษถูกส่งไปยังเรือนจไ
- ครูชนบทอยู่ไกลปืนเที่ยง
- นักเรียนอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องเรียน
- ข้าวในนา ปลาในน้ำ
- ประชาชนทุกคนอยู่ใต้กฎหมายของบ้านเมือง

การใช้คำ กับ แก่ แด่ ต่อ
กับ ใช้กับการกระทำที่ร่วมกันกระทำ
- เขากับเธอมาถึงโรงเรียนพร้อมกัน
- พ่อกับลูกกำลังอ่านหนังสือ
แก่ ใช้นำหน้าผู้รับที่มีอายุน้อยกว่าผู้ให้ หรือเสมอกัน
- คุณครูมอบรางวัลแก่นักเรียน
- เขามอบของขวัญปีใหม่แก่เพื่อน
แด่ ใช้นำหน้านามที่เป็นผู้รับที่มีอายุมากกว่า หรือกับบุคคลที่เคารพ
- นักเรียนมอบของขวัญแด่อาจารย์ใหญ่
- ฉันถวายอาหารแด่พระสงฆ์
ต่อ ให้ในการติดต่อกับผู้รับต่อหน้า
- จำเลยให้การต่อศาล
- ประธานนักเรียนเสนอโครงการต่ออาจารย์ใหญ่
- หาคนหวังดีต่อชาติ
- ผู้แทนราษฎรแถลงนโยบายต่อประชาชาน
ด้วย ใช้นำหน้าคำเเสดงความเป็นเครื่องใช้ หรือมีส่วนร่วม
- ทำด้วยกระดาษ - ตีด้วยไม้คมเเฝก
- ผสมด้วยเกลือ (ส่วนร่วม) - ผสมด้วยน้ำ (ส่วนร่วม)
โดย ใช้นำหน้าคำในความหมาย ตาม
- กล่าวโดยจริง - ทำโดยวิธีลัด
- บริจาคเงินโดยเสร็จพระราชกุศล

การละบุพบท บุพบทบางคำอาจละได้โดยไม่ทำให้ข้อความ เปลี่ยนเเปลง
- ลูกพ่อค้า (ลูกของพ่อค้า)
- วารีฟ้องครูว่าเพื่อนหนีเรียน (วารีฟ้องต่อครูว่าเพื่อนหนีเรียน)

คำสันธาน

คำสันธาน คือคำเชื่อมคำ หรือประโยคเชื่อมประโยคให้ต่อเนื่องกัน มี 2 ลักษณะ คือ
1. เชื่อมคำกับคำ เช่น พี่กับน้อง เขียนกับอ่าน ลูกและหลาน ผักกาดและหัวหอมเป็นพืชสวนครัว
เธอชอบสีแดงหรือสีส้ม
2. เชื่อมข้อความกับข้อความ การส่งเสียงดังในห้องสมุดเป็นการกระทำที่ไม่ดีรบกวนผู้อื่นเพราะฉะนั้นจึงต้องมีกฎห้ามส่งเสียงดังติดประกาศไว้ คนเราต้องการอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องประกอบอาชีพเพื่อให้ได้เงินมาซื้อสิ่งจำเป็นเหล่านี้
3. เชื่อมประโยคกับประโยค พี่เป็นคนขยันแต่น้องเกียจคร้านมาก เราหวงแหนแผ่นดินไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเรา
4. เชื่อมความให้สละสลวย คนเราก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างเป็นธรรมดา ฉันก็เป็นคนจริงคนหนึ่งเหมือนกัน

คือ คำที่ใช้เชื่อมข้อความติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้ประโยคสละสลวยและมีความหมายชัดเจนขึ้น
หน้าที่ของคำสันธาน มีดังนี้้

๖.๑ สันธานใช้เชื่อมคำ

สุดาชอบวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์

แม่ค้าขายผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์

๖.๒ สันธานใช้เชื่อมประโยค

ฉันกินข้าว แต่น้องกินก๋วยเตี๋ยว

เขานอน หรือเขาทำงาน

๖.๓ สันธานใช้เชื่อมความ

เขาอยากจะช่วยเหลือเธอ แต่เธอไม่ขอร้อง ฝ่ายเธอก็อยากให้เขาช่วยแต่ก็เกรง ใจไม่กล้าออกปากบอกเขาเสียที
ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่เมืองไทย เขาขยันหมั่นเพียรไม่ยอมให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เขาจึงร่ำ รวย จนเกือบจะซื้อแผ่นดินไทยได้ ทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องชาว ไทยทั้งหลายจงตื่นเถิด จงพากันขยันทำงานทุกชนิดเพื่อจะได้รักษาผืนแผ่นดินของไทยไว้
เชื่อมประโยคกับข้อความ หรือข้อความกับประโยค มี 4 ลักษณะคือ

ก. คล้อยตามกัน เช่น พอล้างมือเสร็จก็ไปรับประทานอาหาร
ข. ขัดแย้งกัน เช่น แม้เขาจะขยั้นแต่ก็เรียนไม่สำเร็จ
ค. เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เธอจะอ่านหนังสือกรหรือจะเล่น
ง. เป็นเหตุเป็นผลกัน เช่น เพราะรถติดเขาจึงมาสาย

ข้อสังเกต

1.คำสันธานบางคำใช้เข้าคู่กัน เช่น ไม่…ก็ , กว่า…ก็ , เพราะ…จึง , ถึง…ก็ , แม้…ก็ เป็นต้น

2.คำสันธานอาจอยู่ในตำแหน่งต่างๆในประโยคก็ได้ เช่น

อยู่ระหว่างคำ : อีฟชอบสีม่วงและสีขาว
อยู่หลังคำ : คนก็ดี สัตว์ก็ดี รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
อยู่คร่อมคำ : ถึงเป็นเพื่อนก็อย่าวางใจ
อยู่ระหว่างประโยค : ตูนจะดื่มน้ำส้มหรือดื่มนม
อยู่หลังประโยค : เราจะทำบุญก็ตาม บาปก็ตาม ควรคิดถึงผลกรรม
อยู่คร่อมประโยค : แม้เต้จะกินมากแต่เต้ก็ไม่อ้วน

3.ประโยคที่มีคำสันธานนั้นจะแยกออกเป็นประโยคย่อยได้ตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไป

4.คำบางคำเป็นได้ทั้งคำสันธานและคำบุพบท เช่น คำว่า “เมื่อ” ให้พิจารณาว่าถ้าสามารถแยกเป็น 2 ประโยคได้ก็เป็นคำสันธาน เช่น “เมื่อ 16 นาฬิกา อาร์ทได้ออกจากโรงเรียนไปแล้ว” ( เป็นคำบุพบท ) “เมื่อเราได้ยินเสียงระฆัง หมวยได้ออกจากโรงเรียนไปแล้ว” ( เป็นคำสันธาน ) เป็นต้น

5. คำว่า “ให้” เมื่อนำมาใช้เชื่อมประโยคก็จัดเป็นคำสันธาน เช่น “เขาทำท่าตลกให้เด็กหยุดร้องไห้” เป็นต้น

6. คำว่า “ว่า” เมื่อนำมาใช้เชื่อมระหว่างประโยคก็จัดเป็นคำสันธาน เช่น “หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ามีการกวาดล้างพวกมิจฉาชีพครั้งใหญ่” เป็นต้น

7. คำประพันธสรรพนามหรือคำสรรพนามเชื่อมประโยค คือ คำว่า “ผู้ ที่ ซึ่ง อัน” จัดเป็นคำสันธานด้วย

สตรีผู้มีความงามย่อมเป็นที่สนใจของคนทั่วไป
คนที่กำลังเล่นกีตาร์นั่นเป็นพี่ชายของวี
ฝ้ายอยู่ในตลาดซึ่งมีคนพลุกพล่าน

คำอุทาน
คำอุทาน คือคำที่เปล่งออกมาบอกอาการ หรือความรู้สึกของผู้พูดแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ
1. อุทานบอกอาการ หรือบอกความรู้สึก จะใช้เครื่องหมาย อัศเจรีย์ ( ! )
กำกับข้างหลัง เช่น
อุ๊ย ! พุทโธ่ ! ว๊าย! โอ้โฮ! อนิจจา!
2. อุทานเสริมบท เป็นคำพูดเสริมเพื่อให้เกิดเป็นคำที่สละสลวยขึ้น เช่น
- รถรา
- กระดูกกระเดี้ยว
- วัดวาอาราม
- หนังสือหนังหา
- อาบน้ำอาบท่า
- กับข้าวกับปลา
หน้าที่ของคำอุทาน มีดังนี้คือ


อุทานบอกอาการคือ คำอุทานที่ผู้พูดเปล่งออกมา เพื่อให้รู้จักอาการและความรู้สึกต่างๆ ของผู้พูด เวลาเขียนมักนิยมใช้เครื่องหมาย !(อัศเจรีย์) กำกับไว้หลังคำนั้น เช่น
ตัวอย่าง

๑. แสดงอาการร้องเรียกหรือบอกให้รู้ตัว ได้แก่ แน่ะ!,นี่แน่ะ!,เฮ้!,เฮ้อ!
๒. แสดงอาการโกรธเคือง ได้แก่ เหม่ !,อุเหม่!,ฮึ่ม!,ชิชะ!,ดูดู๋!
๓.แสดงอาการตกใจ ได้แก่ ว้าย!,ตาย !,ช่วยด้วย !,คุณพระช่วย!
๔.แสดงอาการประหลาดใจ ได้แก่ ฮ้า !,แหม!,โอ้โฮ!,แม่เจ้าโว้ย!
๕.แสดงอาการสงสารหรือปลอบโยน ได้แก่ โถ!,โธ่!,อนิจจัง!,พุทโธ่!
๖.แสดงอาการเข้าใจหรือรับรู้ เช่น อือ!,อ้อ!,เออ!,เออน่ะ!
๗.แสดงอาการเจ็บปวด เช่น อุ๊ย!,โอย!,โอ๊ย!
๘.แสดงอาการดีใจ เช่น ไชโย!


คำอุทานเสริมบท

ตัวอย่าง

แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ

๑.คำที่กล่าวเสริมขึ้นเพื่อให้คล้องจอง หรือมีความหมายในการพูดดีขึ้น เช่น หนังสือ,หนังหา,ส้มสุกลูกไม้,กางกุ้งกางเกง ฯลฯ

๒.คำที่แทรกลงในระหว่างคำประพันธ์ เพื่อให้เกิดความสละสลวยและให้มีคำครบถ้วนตามต้องการในคำประพันธ์นั้นๆ คำอุทานชนิดนี้ใช้ เฉพาะในคำประพันธ์ ไม่นำมาใช้ในการพูดสนทนา เช่น อ้า ,โอ้ ,โอ้ว่า,แล,นา ,ฤา , แฮ, เอย ,เฮย ฯลฯ



หน้าที่ของคำอุทาน มีดังนี้คือ

๑. ทำหน้าที่แสดงความรู้สึกของผู้พูด

ตัวอย่าง


ตายจริง! ฉันลืมเอากระเป๋าสตางค์มา


โธ่! เธอคงจะหนาวมากละซิ


เอ๊ะ! ใครกันที่นำดอกไม้มาวางไว้ที่โต๊ะของฉัน

๒. ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนักของคำ ซึ่งได้แก่คำอุทานเสริมบท

ตัวอย่าง
ทำเสร็จเสียทีจะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป

เมื่อไรเธอจะหางหา งานทำเสียที

เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร

๓. ทำหน้าที่ประกอบข้อความในคำประพันธ์ตัวอย่าง
แมวเอ๋ยแมว เหมียว


มดเอ๋ยมด แดง
กอ เอ๋ย กอไก่

แบบฝึกหัดท้ายบทเรียน

แบบฝึกหัดที่ 1
คำชี้แจงให้ขีดเส้นใต้ คำนาม แล้วนำไปเขียนลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
1. หาญเรียนหนังสือ
2. หมากัดแมวลุงขายอาหาร
3. รถจักรยนต์ชนกำแพง
4. วิชัยอ่านบทดอกสร้อย
5. ผีเสื้อตอมดอกไม้
6. นายพรานยิ่งวัวกระทิง
7. ตำรวจต่อสู้กับโจร
8. ครูสอนนักเรียน
คำนามทำหน้าที่ประธาน คำนามทำหน้าที่กรรม
1 .........................................................................................................................................
2 .........................................................................................................................................
3..........................................................................................................................................
4..........................................................................................................................................
5..........................................................................................................................................
6..........................................................................................................................................
7........................................................................................................................................
8 ........................................................................................................................................

แบบฝึกหัดที่ 2

คำชี้แจง ให้เต็มคำสรรพนามที่กำหนดให้ลงในช่องว่างให้ได้ใจความถูกต้อง
1. แดงเป็นนักเรียน……….จึงต้องเรียน
2. เธอจะอยู่กับแม่หรือ…………….จะอยู่กับยาย
3. แม่ของ…………….ทำงานอะไรคุณจึงต้องไปรับทุกวัน
4. แมวของฉันน่ารักมาก……………..ชอบจับหนู
5. คุณครูครับ………ขออนุญาตเข้าห้องเรียน
6. ผมพร้อมแล้ว………….ไปโรงเรียนกันเถอะ
7. หนังสือของเขาหาย เขาจึงต้องซื้อ……….ใหม่
8. สุชาติเล่นฟุตบอลตากแดด ………….เลยป่วยมาโรงเรียนไม่ได้

แบบฝึกหัดที่ 3
คำชี้แจง ให้เติมคำกริยาลงในช่องว่าง ให้ประโยคได้ใจความสมบูรณ์ถูกต้อง
1. นักเรียน…………….หนังสือ
2. นกน้อย………อยู่บนท้องฟ้าไปในที่ต่าง ๆ
3. ม้าแข่ง………..เร็วมากจนได้อันดับที่ หนึ่ง
4. ไก่…………….ในตอนเช้า ปลุกให้เราตื่น
5. หมา……………ไก่ในเล้าจนตาย
6. ผีเสื้อ………..น้ำหวานดอกไม้
7. ผึ้ง……….เจ็บปวดมาก
8. เขาเดินข้ามถนนตรงทางม้าลายรถไม่………
9. สำราญ………ขี่จักรยานไปโรงเรียน
10. เขา…………ชุดนักเรียนจนสะอาด
11. ครู………….นักเรียนให้อ่านได้
12. ฝน…………หนักมากจนน้ำท่วมไร่นา
13. ลม……….แรงจนต้นไม้หัก
14. ตำรวจ………….คนร้ายจนตาย

แบบฝึกหัดที่4
ให้เลือกคำวิเศษณ์ที่กำหนดให้เติมลงในช่องว่างให้ถูกต้อง
นั้น บน ใคร ทั้งหมด ที่ เช้า ครับ อ้วน เท่าไร ไม่ใช่
1. หมูกินอาหารมากจึง…………
2. ในตอน…………..เราต้องรีบตื่นนอนไปโรงเรียน
3. อยู่……….โต๊ะมีหนังสือวางอยู่หลายเล่ม
4. เสื้อผ้า………..ที่จะใช้อยู่ในกระเป๋าแล้ว
5. เรือลำ………..วิ่งเร็วมาก
6. เลขง่ายอย่างนี้…….ก็ทำได้
7. แม่อายุ…………….
8. ………..แม่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้
9. เขา…………คนขโมยดินสอของเพื่อน
10. เขาพูดอย่าง……….ใคร ๆ ไม่คาดคิด

แบบฝึกหัดที่5
ให้เลือกคำ กับ แก่ แก่ ต่อ เติมลงในช่องว่างให้ได้ใจความถูกต้อง
1. ฉัน………เธอไปซื้อหนังสือด้วย
2. เขาสารภาพ…………..หน้าครูว่าเขาทำผิดจริง
3. แม่ให้ขนม…………..ลูก ๆ ในวันเกิด
4. เขาส่งบัตร ส.ค.ส ให้………เพื่อนในวันปีใหม่
5. แม่ถวายเครื่องไทยทาน………..พระสงฆ์
6. พี่………..น้องช่วยกันทำอาหารเช้า
7. ลูกเสือปฏิญาณตน………..หน้าผู้กำกับหมู่ลูกเสือ
8. ครูแจกเสื้อผ้าให้ …………นักเรียนขาดแคลน
9. เด็กต้องแสดงความเคารพ……………ผู้ใหญ่
10. นักเรียนมอบของขวัญ……….ครูใหญ่

แบบฝึกหัดที่ 6

ให้เลือกคำสันธานที่กำหนดให้เติมลงในช่องว่างให้ประโยคมีใจความสมบูรณ์ถูกต้อง
ก็ หรือ แต่ก็ เพราะ และ แต่
1. พอเขากับถึงบ้าง………..รีบอาบน้ำกินข้าว
2. เธอจะเอาสมุด…………ดินสอเลือกเอาเอง
3. แม้พ่อแม่จะขยันทำงาน…….ไม่ร่ำรวย
4. เขาสอบได้คะแนนดี………เขาตั้งใจเรียน
5. สุดา………มานีทำการบ้านด้วยกัน
6. เพื่อน ๆ ไม่ชอบเขา……….เขาชอบเอาเปรียบผู้อื่น
7. คุณแม่ทำอาหาร………..คุณพ่อไปวิ่งออกกำลัง
8. เธอจะไปห้องสมุดอ่านหนังสือกับฉัน………..ไม่
9. กว่าแพทย์จะมาคนป่วย……….สลบไปเสียแล้ว
10. นกน้อยทำรัง……….พอตัว

แบบฝึกหัดที่ 7
ให้เขียนเครื่องหมาย ทับตัวอักษรหน้าข้อของคำตอบที่ถูกต้อง
1. คำนาม หมายถึงข้อใด
ก. คำเรียกชื่อทั่วไป
ข. คำเรียกชื่อเฉพาะ
ค. คำเรียกสิ่งที่มีตัวตน
ง. คำเรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่
2. คำเรียกชื่อเฉพาะเจาะจง ตรงกับข้อใด
ก. สมุหนาม ข. อาการนาม
ค. สามานยนาม ง. วิสามานยนาม
3. คำนามใช้เป็นสวนใดของประโยค
ก. ประธาน ข. กรรม
ค. บทเชื่อม บทขยาย ง. ประธาน กรรม
4. “สาธิตและดวงแก้ว ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดลางลำพู”มีวิสามานยนามกี่คำ
ก. 2 คำ ข. 3 คำ
ค. 4 คำ ง. 5 คำ
5. สรรพนาม คืออะไร
ก. คำเรียกชื่อ ข. คำบอกชื่อ
ค. คำแทนชื่อ ง. คำและชื่อ
6. ข้อใดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1
ก. เขา
ข. ท่าน
ค. ฉัน
ง. เธอ
7. ข้อใดเป็นอกรรมกริยา
ก. ตัด
ข. ยืน
ค. ยิง
ง. จับ
8. ข้อใดเป็นสกรรมกริยา
ก. นอน
ข. ขาย
ค. ร้องไห้
ง. วิ่ง
9. ข้อใดมีคำสันธาน
ก. ฝนตกแต่แดดออก
ข. ของหายเมื่อวันวาน
ค. ของหายตะพายบาป
ง. เธอซื้อเสื้อจากที่ไหน
10. ชาวนาดำนา คำว่า ดำ เป็นคำชนิดใด
ก. อกรรมกริยา
ข. สกรรมกริยา
ค. สามานยนาม
ง. วิสามานยนาม
11. ผู้ชายชอบผู้หญิงสวย สวยเป็นคำชนิดใด
ก. อกรรมกริยา
ข. สกรรมกริยา
ค. สันธาน
ง. วิเศษณ์
12. สันธาน คืออะไร
ก. คำขยาย
ข. คำเชื่อม
ค. คำบอกอาการ
ง. คำแทนผู้พูด ผู้ฟัง
13. ข้อใดเป็นคำวิเศษณ์บอกสถานที่
ก. สำหรับ
ข. อ้วน
ค. ต่าง
ง. ชิด
14. คำใดใช้ลักษณะนามเหมือนกัน
ก. ธนู รถยนต์
ข. บ้าน ปากกา
ค. แคน แห
ง. นาฬิกา หนังสือ
15. “แห…..นี้ชำรุดมากแล้ว”ลักษณนามข้อใดถูกต้อง
ก. ซี่
ข. หลัง
ค. ปาก
ง. ปื้น
16. ข้อใดเป็นอุทานแสดงความสงสัย
ก. อ้อ! รู้แล้ว
ข. โอ๊ย! เจ็บจริง
ค. โอ้โฮ! สวยจัง
ง. เอ๊ะ! ทำไมไม่เห็น
17. “นิดไปตลาดซื้อตำลึงให้คุณแม่สัก 3 …….. นะจ๊ะ”
ก. ต้น
ข. กอ
ค. กำ
ง. ใบ
18. “บุหรี่ 1 ….มี 20….ต้องใช้ลักษณนามตามข้อใด
ก. กล่อง หีบ
ข. ซอง มวน
ค. ซอง จีบ
ง. หีบ มวน
19. ข้อใดใช้บุพบทผิด
ก. ปลาในน้ำ
ข. เขาเห็นด้วยตา
ค. ไปกับเพื่อน
ง. ถวายอาหารแด่พระสงฆ์
20. คำกริยาในข้อใดเป็นอกรรมกริยา
ก. น้องดื่มนมทุกวัน
ข. พี่กวาดบ้านจนสะอาด
ค. คุณแม่เดินเล่นกลางสนาม
ง. น้ากวาดบ้านจนสะอาด


แบบฝึกหัดที่ 8
1. เด็ก, ช้าง, เป็นคำชนิดใด ?
คำสรรพนาม
คำนาม
คำบุพบท
คำวิเศษณ์
2. คำนามแบ่งเป็นกี่จำพวก ?
๒ จำพวก
๓ จำพวก
๔ จำพวก
๕ จำพวก 3. คำกริยาแบ่งเป็นกี่จำพวก ?
๕ จำพวก
๒ จำพวก
๔ จำพวก
๑ จำพวก 4. หล่อน เป็นคำชนิดใด ?
คำ สรรพนาม
คำ สันธาน
คำ อุทาน
คำ บุพบท
5. เมื่อ ตั้งแต่ กระทั้ง จน เป็นคำชนิดใด ?
คำนาม
คำอุทาน
คำสรรพนาม
คำบุพบท
6. คำนามใช้บอกลักษณะของนามหรือกริยา คือคำนามชนิดใด ?
บุพบท
อกรรมกริยา
ลักษณะนาม
วิเศษณ์
7. คำที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่างๆ คือคำชนิดใด ?
คำนาม
คำอุทาน
คำสรรพนาม
คำกริยา
8. คำที่ใช้แทนคำนาม คือคำชนิดใด ?
คำนาม
คำสรรพนาม
คำอุทาน
คำบุพบท
9. คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ คือคำกริยาชนิดใด ?
อกรรมกริยา
คำนาม
บุพบท
คำวิเศษณ์
10. คำที่แสดงอาการของนามหรือสรรพนามคือคำชนิดใด ?
คำบุพบท
คำอุทาน
คำนาม
คำกริยา

ช้ินงานประจำบทเรียน
ให้นักเรียนหา คำไทยทั้ง ๗ ชนิด จากเอกสาร สื่งพิมพ์ วารสาร แผ่นพับ ต่างๆ
โดยให้มีคำทั้งหมด ชนิดละไม่ตำกว่า ๓ คำ ให้ทำลง กระดาษเอ ๔ อย่าลืมบอกแหล่งที่มา
ของเอกสารที่นำมาใช้ ด้วย เช่น ว่าเป็นหนังสืออะไร ใครเขียน เมื่อไร


เฉลยแบบฝึกหัด
1. ง 2. ง 3. ง 4. ข 5. ค 6. ค 7. ข 8. ข 9. ก 10. ข 11. ง 12. ข 13. ง
14. ก 15. ค 16. ง 17. ค 18. ข 19. ข 20. ค

Monday, May 17, 2010

course syllabus

โรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา
ประมวลรายวิชา (Course syllabus)
ชื่อวิชา ภาษาไทย รหัสวิชา ท ๒๓๑๐๑
สาระการเรียนรู้ □ พื้นฐาน □ เพิ่มเติม
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับช่วงชั้นที่ ๒ จำนวน ๔ หน่วยกิต
จำนวน ๘๐ ชั่วโมง/ภาคเรียน ๔ ช.ม./สัปดาห์ ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖
ภาคเรียนที่ ๑ปีการศึกษา ๒๕๕๓ อาจารย์ผู้สอน ผศ.ระพิน ชูชื่น, กอบกุล ใจกว้าง
...................................................................................................................................................................
๑.คำอธิบายรายวิชา
การอ่าน
อ่านได้คล่องและเร็วเข้าใจความหมายของคำ สำนวนโวหาร การเปรียบเทียบใช้ห้องปฏิบัติการทางภาษาและห้องสมุด การแยกข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น วิเคราะห์ความ ตีความ สรุปใจความสำคัญ หาคำสำคัญในเรื่อง โดยใช้แผนที่ความคิดหรือแผนภาพความคิด พัฒนาการอ่าน นำความรู้ความคิดการอ่านไปใช้ในการแก้ปัญหา และตัดสินใจใช้การอ่านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนและค้นคว้าเพิ่มเติม อ่านในใจและอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว และบทร้อยกรองได้คล่อง รวดเร็วถูกต้องตามลักษณะของคำประพันธ์และอักขรวิธี ท่องจำบทร้อยกรองที่มีคุณค่าทางความคิดและความงดงามทางภาษา อธิบายความหมายและคุณค่าของบทร้อยกรอง เลือกหนังสืออ่านตามผลการเรียนรู๔ที่คาดหวัง มีนิสัยรักการอ่านและมีมารยาทในการอ่าน
การเขียน
เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมาย เขียนอธิบาย เขียนชี้แจง การปฏิบัติงานได้เหมาะสมกับโอกาส เขียนเรื่องราวจากจินตนาการ จดบันทึกข้อมูลความรู้ ประสบการณ์เพื่อนำมาพัฒนางานเขียน มีนิสัยรักการเขียนและมีมารยาทในการเขียน
การฟัง การดู และการพูด
จับประเด็นสำคัญ แยกข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น สรุปความ วิเคราะห์เรื่อง เข้าใจ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของเรื่อง ผู้พูด เข้าใจถ้อยคำ น้ำเสียงที่แสดงออก กิริยาท่าทางรับสารจาก การฟัง และการดูโดยการสังเกต สนทนาโต้ตอบ พูดวิเคราะห์เรื่องราว พูดรายงาน มีมารยาทในการฟังและการพูด
หลักการใช้ภาษา
อ่านและเขียนสะกดคำ ในวงคำศัพท์ที่กว้างขวาง ใช้คำ กลุ่มคำ ตามชนิดและหน้าที่มาเรียบเรียงเป็นประโยค ใช้ประโยคสื่อสารได้ชัดเจน ใช้คำที่มีความหมายโดยตรง ใช้ภาษาในการสนทนาเชื้อเชิญ ชักชวน ปฏิเสธ ชี้แจงด้วยถ้อยคำสุภาพ ใช้คำราชาศัพท์ รู้จักคิดไตร่ตรองก่อนพูดและเขียน ลักษณะของคำไทย คำภาษาถิ่น และคำภาษาต่างประเทศ ที่ปรากฏในภาษาไทย แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ กลอนแปด กลอนสุภาพ เล่านิทานและตำนานพื้นบ้าน ใช้ทักษะทางภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียน การแสวงหาความรู้และการดำรงชีวิต การใช้ห้องปฏิบัติการทางภาษาและห้องสมุด บอกระดับของภาษา ลักษณะของภาษาพูดและภาษาเขียนอย่างถูกต้อง มีคุณธรรมและเหมาะแก่สถานการณ์ ใช้ภาษาอย่างสร้างสรรค์ สอดคล้องกับขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม เข้าใจการใช้ภาษาของกลุ่มบุคคลในชุมชน
วรรณคดีและวรรณกรรม
อ่านนิทาน ตำนาน เรื่องสั้น สารคดี บทความ บทร้อยกรอง บทละคร ใช้หลักการพิจารณาคุณค่าของหนังสือเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
๒.ตัวชี้วัด
สาระที่๑ การอ่าน
๑. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง
๒. อธิบายความหมายของคำ ประโยคและข้อความที่เป็นโวหาร
๓. อ่านเรื่องสั้นๆ อย่างหลากหลาย โดยจับเวลาแล้วถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
๔. แยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน
๕. อธิบายการนำความรู้และความคิดจากเรื่องที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต
๖. อ่านงานเขียนเชิงอธิบาย คำสั่ง ข้อแนะนำ และปฏิบัติตาม
๗. อธิบายความหมายของข้อมูลจากการอ่านแผนผัง แผนที่ แผนภูมิ และกราฟ
๘. อ่านหนังสือตามความสนใจและอธิบายคุณค่าที่ได้รับ
๙. มีมารยาทในการอ่าน
สาระที่๒ การเขียน
๑. คัดลายมือตัวบรรจง เต็มบรรทัด และครึ่งบรรทัด
๒. เขียนสื่อสารโดยใช้คำได้ถูกต้อง ชัดเจน และเหมาะสม
๓. เขียนแผนภาพ โครงเรื่อง และแผนภาพความคิดเพื่อใช้พัฒนางานเขียน
๔. เขียนเรียงความ
๕. เขียนย่อความจากเรื่องที่อ่าน
๖. เขียนจดหมายส่วนตัว
๗. กรอกแบบรายการต่างๆ
๘. เขียนเรื่องตามจินตนาการและสร้างสรรค์
๙. มีมารยาทในการเขียน

สาระที่ ๓ การฟัง การดูและการพูด
๑. พูดแสดงความรู้ ความเข้าใจ จุดประสงค์ของเรื่องที่ฟังและดู
๒. ตั้งคำถามและตอบคำถามเชิงเหตุผล จากเรื่องที่ฟังและดู
๓. วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือจากการฟังและดูสื่อโฆษณาอย่างมีเหตุผล
๔. พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาค้นคว้าจากการฟังการดู และการสนทนา
๕. พูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ
๖. มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด
สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย
๑. วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค
๒. ใช้คำได้เหมาะสม กับกาลเทศะและบุคคล
๓. รวบรวมและบอกความหมายของคำภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย
๔. ระบุลักษณะของประโยค
๕. แต่งบทร้อยกรอง
๖. วิเคราะห์ และเปรียบเทียบสำนวนที่เป็น คำพังเพยและสุภาษิต
สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม
๑. แสดงความคิดเห็นจากวรรณคดี หรือวรรณกรรม ที่อ่าน
๒. เล่านิทานพื้นบ้านท้องถิ่นตนเอง และนิทานพื้นบ้าน ของท้องถิ่นอื่น
๓. อธิบายคุณค่าของวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่านและนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
๔. ท่องจำบทอ
โรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา
ประมวลรายวิชา (Course outline)
ชื่อวิชา ภาษาไทย รหัสวิชา ท ๒๓๑๐๑
สาระการเรียนรู้ □ พื้นฐาน □ เพิ่มเติม
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย จำนวน ๔ หน่วยกิต
จำนวน ๘๐ ชั่วโมง/ภาคเรียน ๔ ช.ม./สัปดาห์ ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖
ภาคเรียนที่ ๑ปีการศึกษา ๒๕๕๓ อาจารย์ผู้สอน ผศ.ระพิน ชูชื่น, กอบกุล ใจกว้าง
...................................................................................................................................................................
าขยานตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ
ระยะเวลา เนื้อหาการเรียน

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑-๗
การพูด,การเขียน,การอ่าน,วรรณคดีลำนำ
นิทานนายทองอิน สุภาษิตสอนหญิง รามเกียรติ์
หลักภาษา
- คำทั้ง ๗ ชนิด
- กลุ่มคำ
- ประโยค
- เครื่องหมายวรรคตอน
- สำนวนโวหาร
- บทร้อยกรอง
- ลักษณะคำไทยและคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๘-๑๕
การอ่าน,การเขียน.วรรณคดีลำนำ
หลักภาษา
- คำพ้องเสียง
- คำราชาศัพท์
- การอ่าน,ประเภทหนังสือ
- การใช้พจนานุกรรม
- หลักและวิธีการแต่งบทร้อยกรอง
- การเขียนชี้แจง
-การเขียนจดหมาย
วิธีการวัดผลประเมินผล
๑. สัดส่วนคะแนนการวัดผลประเมินผล
คะแนนระหว่างภาค : คะแนนปลายภาค ๗๐:๓๐
ตอนที่ ๒ คะแนนการสอบย่อย การตรวจผลงาน


























หัวข้อ



คะแนนเต็ม



ท่องบทอาขยาน การอ่านออกเสียงร้อยกรอง



๑๐



ทดสอบย่อยประจำหน่วย



๑๐



สอบหลักภาษาประจำหน่วย



๑๐



ตรวจสมุดแบบฝึกหัด



๑๐



คะแนนกลุ่ม (การพูดแสดงความคิดเห็น
การเข้าร่วมกิจกรรม)



๑๐


วิธีการวัดผลประเมินผล




๑. สัดส่วนคะแนนการวัดผลประเมินผล




คะแนนระหว่างภาค : คะแนนปลายภาค ๗๐:๓๐




. รายละเอียดการเก็บคะแนน

ภาคเรียนที่

ตอนที่
คะแนนจากชิ้นงาน


































































































































ชิ้นงาน



คะแนน



การเขียนบันทึกการอ่าน



๑๐



การเขียนบรรยาย
อธิบาย
ตอบคำถามท้ายบท



๑๐



การเลือกหนังสืออ่านนอกเวลา



๑๐



การเขียนย่อความ



๑๐



การพูดเพื่อการสื่อสาร



๑๐



การจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังและดูจากสื่อต่างๆ



๑๐



การพูดเพื่อการสื่อสาร



๑๐



การจับใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังและดูจากสื่อต่างๆ



๑๐



การพูดแสดงความคิดเห็นเชิงวิจารณ์



๑๐



การโต้วาที



๑๐



การเขียนบทวิจารณ์



๑๐



การเขียนโฆษณา



๑๐



การเขียนเชิงสร้างสรรค์



๑๐



การพูดแนะนำตนเอง,การพูดแนะนำผู้อื่น



๑๐



การเขียนรายงาน



๑๐



การพูดเล่าเรื่อง



๑๐



ชมรมคนรักวรรณคดี



๑๐



นักสืบทองอิน



๑๐



การเดินทางของพลายน้อย



๑๐



การหาคำมูล
คำประสม



๑๐



คำนาม
สรรพนาม
กริยา



๑๐



การเขียนบัตรเชิญ
บัตรอวยพร



๑๐



การเขียนเรียงความ



๑๐



หาคำราชาศัพท์จากเอกสาร
สิ่งพิมพ์



๑๐



หาคำที่มีเครื่องหมายวรรคตอน
อักษรย่อ



๑๐



การเขียนจดหมาย



๑๐



หาคำที่มีความหมายโดยตรง
และโดยนัย
จากเอกสารสิ่งพิมพ์
ต่างๆ



๑๐




การจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน



๑๐




แต่งคำประพันธ์



๑๐




การผันวรรณยุกต์



๑๐


















ตอนที่ ๒
คะแนนการสอบย่อย
การตรวจผลงาน






























หัวข้อ



คะแนนเต็ม



ท่องบทอาขยาน
(บทเป็นมนุษย์หรือเป็นคน,ความเพียร),
การอ่านออกเสียงร้อยกรอง



๑๐



ทดสอบย่อยประจำหน่วย



๑๐



สอบหลักภาษาประจำหน่วย



๑๐



ตรวจสมุดแบบฝึกหัด



๑๐



คะแนนกลุ่ม
(การพูดแสดงความคิดเห็น
การเข้าร่วมกิจกรรม)



๑๐






การเก็บคะแนนแฟ้มพัฒนางาน (Portfolio) ๑๐
คะแนน




การเก็บคะแนนระหว่างภาค
๗๐ คะแนน














วิธีการวัด



คะแนนเต็ม



ชิ้นงาน(
ตอนที่๑) และ
การสอบ(ตอนที
๒)



๗๐






การเก็บคะแนนสอบปลายภาค
๓๐ คะแนน

























วิธีการวัด



คะแนนเต็ม



ทดสอบความเข้าใจการใช้คำศัพท์-สะกดคำ



๑๐



ทดสอบหลักการใช้ภาษา



๑๐



ทดสอบการใช้ระดับภาษา



๑๐