Saturday, January 27, 2024

กิจกรรมการเขียนบทความ

 ส่วนที่ 1: ขั้นตอนที่ 1-5 (เตรียมการ)

  1. เลือกหัวข้อ: ให้เริ่มต้นโดยการเลือกหัวข้อหรือเรื่องที่คุณสนใจและมีความรู้เกี่ยวกับมัน.


  2. การวิจัยและรวบรวมข้อมูล: ทำการวิจัยและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เลือก โดยอาจต้องอ่านหนังสือ ค้นหาบทความ หรือค้นข้อมูลออนไลน์


  3. การวางโครงสร้าง: ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนบทความจริง วางโครงสร้างหรือแผนที่จะนำเสนอข้อมูลในบทความของคุณ.


  4. การเขียนบทความ: มาถึงขั้นตอนการเขียนบทความตามโครงสร้างที่คุณวางไว้ ควรใช้ภาษาที่ชัดเจนและสื่อความหมายอย่างชัดเจน เริ่มด้วยบทนำที่มีความเข้าใจและท้าทายผู้อ่าน.


  5. การแก้ไขและตรวจสอบ: เมื่อคุณเขียนเสร็จสิ้น ควรทำการแก้ไขและตรวจสอบบทความอย่างละเอียด เช็คความถูกต้องทางไวยากรณ์ สไตล์การเขียน และการอ้างอิงแหล่งข้อมูล

ส่วนที่ 2: ขั้นตอนที่ 6-9 (เขียนและประเมิน)

6. การรวมร่าง: รวมร่างบทความของเรา ในรูปแบบสมบูรณ์และเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการตีพิมพ์หรือการเผยแพร่.

  1. 7. การตีพิมพ์หรือการเผยแพร่: นำบทความของเราไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หรือเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ที่เหมาะสม หรือนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของเรา


  2. 8. การรีวิว: หลังจากเผยแพร่ ควรรีวิวและปรับปรุงบทความตามข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นจากผู้อ่านและเรียบร้อย.


  3. 9. การเรียนรู้และพัฒนา: ใช้ผลจากการเขียนบทความเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ศึกษาผลประโยชน์และข้อบกพร่องจากการเขียนบทความเพื่อปรับปรุงในครั้งถัดไป.

ข้อที่ 1-5 เป็นขั้นตอนที่เตรียมการและเสร็จสิ้นก่อนที่จะเขียนบทความ และข้อที่ 6-9 เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวกับการเขียนและประเมินหลังจากเสร็จสิ้นการเขียนค่ะ โดยสามารถตัดสินใจว่าจะทำขั้นตอนหนึ่งในแต่ละส่วนในเวลาที่เหมาะสม

เกณฑ์ในการประเมิน กิจกรรมการเขียนบทความ

หัวข้อและประโยคที่นำเสนอ (2 คะแนน): ความชัดเจนในการเลือกหัวข้อและการนำเสนอประโยคหลัก การระบุเป้าหมายหรือความตั้งใจในการเขียนบทความ เนื้อหาและข้อมูล (3 คะแนน): ความครอบคลุมและความเหมาะสมของเนื้อหา การนำเสนอข้อมูลที่มีความเป็นมาตรฐานและความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การวิเคราะห์และการอภิปราย (2 คะแนน): การวิเคราะห์หรือการอภิปรายในเนื้อหาของบทความ การนำเสนอความคิดเห็นหรือการตีความข้อมูล การนำเสนอและความเข้าใจ (2 คะแนน): ความชัดเจนในการตีความและการนำเสนอเนื้อหา การใช้ภาษาอย่างถูกต้องและความเข้าใจของผู้อ่าน การอ้างอิงและการอ้างถึงแหล่งข้อมูล (1 คะแนน): การอ้างอิงและการระบุแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง ความเหมาะสมในการอ้างถึงแหล่งข้อมูลที่ใช้ในบทความ คำเตือน: ขอให้รักษาระวังไม่คัดลอกหรือละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น การละเมิดลิขสิทธิ์อาจทำให้สูญเสียคะแนนและมีผลกระทบต่อสถานภาพการศึกษาในอนาคต ให้คิดและเขียนเป็นคำพูดของเราเองและทราบถึงเรื่องที่อ่านและใช้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างมีความรับผิดชอบในการอ้างอิงข้อมูลที่มาจากแหล่งอื่น

Saturday, January 6, 2024

การอ่านและวิเคราะห์บทความ

การอ่านและวิเคราะห์บทความ

บทคัดย่อ (Abstract)

                   บทคัดย่อควรมีความยาว 250 – 300 คำ โดยแยกต่างหากจากเนื้อเรื่อง บทความวิจัยและบทความปริทรรศน์ต้องมีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งบทคัดย่อควรเขียนให้ได้ใจความทั้งหมดของเรื่อง ไม่ต้องอ้างอิงเอกสาร รูปภาพ หรือตาราง และลักษณะของบทคัดย่อควรประกอบไปด้วย วัตถุประสงค์ (Objective) วิธีการศึกษา (Methods) ผลการศึกษา (Results) สรุป (Conclusion) และคำสำคัญ (Key Words) ซึ่งควรเรียบเรียงตามลำดับและแยกหัวข้อให้ชัดเจนดังนี้ 

        บทคัดย่อในงานวิจัยหรือบทความวิชาการเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะมันให้ภาพรวมที่รวดเร็วและชัดเจนของทั้งงานวิจัยหรือบทความ โดยทั่วไป บทคัดย่อจะต้องมีความยาวประมาณ 250 – 300 คำ และมีโครงสร้างตามที่คุณได้กล่าวมา นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละส่วนที่ควรรวมอยู่ในบทคัดย่อ:

  1. วัตถุประสงค์ (Objective): ระบุเป้าหมายหลักของการวิจัยหรือเนื้อหาของบทความ ควรชี้ให้เห็นถึงคำถามที่การวิจัยพยายามตอบหรือปัญหาที่บทความพยายามแก้ไข.


  2. วิธีการศึกษา (Methods): สรุปวิธีการวิจัยที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง การสำรวจ หรือวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนนี้ไม่ควรเข้าไปในรายละเอียดมากนัก แต่ควรให้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการวิจัย.


  3. ผลการศึกษา (Results): นำเสนอข้อพบหรือสิ่งที่การวิจัยค้นพบ ควรเน้นผลลัพธ์หลักที่สำคัญ และสามารถสรุปได้โดยไม่เข้าลึกถึงข้อมูลหรือสถิติที่ซับซ้อน.


  4. สรุป (Conclusion): ระบุสิ่งที่สามารถสรุปได้จากผลการศึกษา ควรสะท้อนถึงการตอบสนองต่อวัตถุประสงค์และคำถามการวิจัยที่กำหนดไว้ในตอนต้น.


  5. คำสำคัญ (Key Words): ระบุคำที่สำคัญที่สามารถสะท้อนถึงหัวข้อหลักและเนื้อหาของบทความหรืองานวิจัย คำเหล่านี้ควรช่วยในการค้นหาและจัดหมวดหมู่งานวิจัยในฐานข้อมูล.

– คำสำคัญ ควรมีคำสำคัญ 3-5 คำ ที่ครอบคลุมชื่อเรื่องที่ศึกษา และจะปรากฎอยู่ในส่วนท้ายของบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยต้องจัดเรียงคำสำคัญตามตัวอักษร และคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,)

1.     ส่วนเนื้อเรื่อง ควรประกอบด้วย


1. บทนำ (Introduction) เป็นส่วนกล่าวนำโดยอาศัยการปริทรรศน์ (Review) ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้ และหลักฐานต่าง ๆ จากหนังสือหรือวารสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา และกล่าวถึงเหตุผลหรือความสำคัญของปัญหาในการศึกษาครั้งนี้ สมมติฐานของการศึกษา ตลอดจนวัตถุประสงค์ของการศึกษาให้ชัดเจน


2. วิธีดำเนินการวิจัย (Methods) กล่าวถึงรายละเอียดของวิธีการศึกษาประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา และวิธีการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รวมทั้งสถิติที่นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล


3. ผลการศึกษา (Results) เป็นการแสดงผลที่ได้จาการศึกษาและวิเคราะห์ในข้อ 3.2 ควรจำแนกผลออกเป็นหมวดหมู่และสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยการบรรยายในเนื้อเรื่องและแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยภาพประกอบ ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิ ตามความเหมาะสม


4. อภิปรายผล (Discussion) เป็นการนำข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์ของผู้นิพนธ์นำมาเปรียบเทียบกับผลการวิจัยของผู้อื่น เพื่อให้มีความเข้าใจหรือเกิดความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนั้น รวมทั้งข้อดี ข้อเสียของวิธีการศึกษา เสนอแนะความคิดเห็นใหม่ ๆ ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์


5. ข้อเสนอแนะ (Suggestion) การแนะแนวการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป


6. กิตติกรรมประกาศ (acknowledgements) (ถ้ามี) เป็นส่วนที่กล่าวขอบคุณต่อองค์กร หน่วยงานหรือบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือร่วมมือในการวิจัย รวมทั้งแหล่งที่มาของเงินทุนวิจัย และหมายเลขของทุนวิจัย


7. เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแทรกในเนื้อหา (Citations in text) เป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อความไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ ( ) แทรกในเนื้อหา ซึ่งมีรูปแบบการเขียนอ้างอิงแตกต่างกันตามประเภทของเอกสารหรือแหล่งที่ใช้อ้างอิง ดังนี้


การอ้างอิงแทรกในเนื้อหา (Citations in text)
1. ใช้รูปแบบการอ้างอิงแทรกในเนื้อหาแบบ APA Style (The Publication Manual of the American Psychological Association)


ขั้นตอนการเขียนบทความ ควรปฏิบัติดังนี้
        1 เลือกเรื่องที่ผู้เขียนสนใจ  มีแหล่งค้นคว้าหรือหาข้อมูลสนับสนุนงานเขียน
        2 กำหนดจุดมุ่งหมายโดยกำหนดให้ชัดเจนว่าเขียนเพื่ออะไร และเขียนให้ใครอ่าน
        3กำหนดแนวคิดสำคัญ  หรือประเด็นสำคัญ  หรือแก่นของเรื่องที่จะนำเสนอผู้อ่าน
        4 ประมวลความรู้  แนวคิด  ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง โดยค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆให้เพียงพอที่จะเขียน
        5 วางโครงเรื่อง  กำหนดแนวทางการเขียนว่าจะนำเสนอสาระสำคัญ  แยกเป็นกี่ประเด็นใหญ่ๆ  มีอะไรบ้าง ในประเด็นหลักมีประเด็นย่อย ๆ  มีตัวอย่าง มีเหตุผลเพื่อสนับสนุนประเด็นหลักอย่างไร
        6 การเขียน ควรดำเนินการดังนี้
 
              1) ขยายความข้อมูลในแต่ละประเด็น  มีการอธิบาย  ยกเหตุผลประกอบ  กล่าวถุงข้อมูลประกอบ  อาจเป็นสถิติ  ตัวเลข  ตัวอย่างเหตุการณ์  เป็นต้น
              2) เขียนคำนำและสรุปด้วยกลวิธีที่เหมาะสมกับประเภทของเนื้อหาบทความ
              3)ควรเลือกใช้ภาษาให้เหมาะกับจุดมุ่งหมายการเขียน  ประเภท และเนื้อหา
              4)ความยาวของบทความไม่ควรเกิน 10 หน้าของวารสาร
              5)ลงรูปที่จำเป็น  แต่ละรูปควรมีคำอธิบายอยู่ใต้รูปด้วยว่าเป็นอะไรใช้ทำอะไร  หรือต้องการแสดงให้เห็นอะไร
              6) เขียนคำสรุป  การเขียนไม่จำเป็นต้องขึ้นหัวข้อย่อยว่า  “สรุป” เพราะเมื่อใดที่เนื้อหาหมดหรือสิ้นสุดของบทความแล้ว ย่อมหมายถึงการสรุป 

ข้อเสนอแนะ
  1.สิ่งสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการเขียนบทความคือ  ๆไม่ท้อถอยเมื่อต้องปรับปรุงแก้ไขบทความ
  2.คนที่ไม่มีประสบการณ์เขียนควรมีที่ปรึกษาหรือเขียนเป็นทีม
  3.ผู้รับผิดชอบเรื่องการเผยแพร่ผลงานวิชาการของเรา  ควรจัดหาแหล่งเผยแพร่ หรือวารสารที่เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการแล้วประชาสัมพันธ์ให้กับเราทราบเป็นระยะ


Tuesday, November 28, 2023

การวิเคราะห์บทความ

 งานวิเคราะห์บทความ       

การออกแบบการสั่งงานให้นักศึกษาเรียนรู้จากบทความนั้นควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเน้นการพัฒนาทักษะอ่านและการวิเคราะห์ข้อมูล นี่คือขั้นตอนและเนื้อหาที่ควรให้นักศึกษาดูดึงสนใจ

  1. หัวข้อและบทความ: ให้นักศึกษาเลือกบทความที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือประเด็นที่กำหนดให้คือเรื่องเกี่ยวกับ "ภาษากับการสื่อสาร" ต้องการให้เลือกบทความที่น่าสนใจและมีข้อมูลที่เพียงพอในการวิเคราะห์และตอบคำถามที่กำหนด
  2. การอ่าน: ให้นักศึกษาอ่านบทความอย่างละเอียด โดยให้ความสำคัญกับหัวข้อหลัก และเมื่อพบคำศัพท์หรือความคิดที่ยากต่อการเข้าใจ ให้นักศึกษาใช้พจนานุกรมหรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมเมื่อจำเป็น
  3. การสรุป: ให้นักศึกษาทำสรุปเรื่องสำคัญในบทความ รวมถึงความคิดเห็นและประเด็นที่มีนักศึกษาคิดว่าสำคัญ
  4. การวิเคราะห์: ให้นักศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาของบทความ โดยการตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหา เช่น ใครเป็นผู้เขียน? มีข้อมูลที่รองรับความเห็นหรือไม่? บทความมีมุมมองเฉพาะหรือไม่? ให้ใช้แนวการวิเคราะห์ แบบ 5W1H
  5. การอภิปราย: ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับบทความ อาจสอบถามคำถามเพิ่มเติมหรือเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อนี้
  6. งานเขียน: ให้นักศึกษาเขียนบทความสรุปและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้อ่าน รวมถึงความคิดเห็นส่วนตัว
  7. การถามและสนทนา: ให้นักศึกษาสรุปและพูดคุยเกี่ยวกับบทความ อาจมีการถามคำถามเพิ่มเติมหรือเสนอความคิดเห็นต่อกัน
  8. ไม่ลืมที่จะอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลด้วย

    อธิบายเพิ่มเติม 5W 1H (Who, What, When, Where, Why, How)

    เพื่อให้นักศึกษาใช้ 5W 1H (Who, What, When, Where, Why, How) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เนื้อหาของบทความได้ โดยนักศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงขั้นตอน และคำถามเพื่อให้ใช้เครื่องมือนี้ได้ดังนี้:

    1. Who (ใคร): ให้นักศึกษาระบุผู้เขียนของบทความ และผู้ที่เป็นเป้าหมายหรือกลุ่มที่บทความนี้เน้นถึง

    2. What (อะไร): ให้นักศึกษาระบุเนื้อหาหลักและข้อมูลสำคัญในบทความ รวมถึงความรู้สึกหรือความคิดเห็นที่เป็นที่น่าสนใจ

    3. When (เมื่อ): ให้นักศึกษาระบุเวลาหรือช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง

    4. Where (ที่ไหน): ให้นักศึกษาระบุสถานที่หรือบริบทที่เกี่ยวข้องกับบทความ และความสัมพันธ์ของสถานที่กับเนื้อหา

    5. Why (ทำไม): ให้นักศึกษาคิดเกี่ยวกับเหตุผลหรือจุดประสงค์ที่ผู้เขียนของบทความมีในการเขียน และเหตุผลที่เนื้อหามีความสำคัญ

    6. How (อย่างไร): ให้นักศึกษาคิดเกี่ยวกับวิธีการผู้เขียนใช้ในการสื่อสารหรือสร้างเนื้อหา และวิธีการที่นักศึกษาจะใช้ในการเขียนบทความสรุปและวิเคราะห์

    การใช้ 5W 1H ในการวิเคราะห์จะช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้วิธีการสำรวจและเข้าใจเนื้อหาของบทความอย่างละเอียดและระเบียบมากยิ่งขึ้น

Tuesday, November 21, 2023

กิจกรรมที่ 2 การวิเคราะห์พฤติกรรมการสอนกับการสื่อสารในชั้นเรียน

   กิจกรรม: การวิเคราะห์และสะท้อนเรื่องการสื่อสารในภาพยนตร์เรื่อง     กิจกรรม การวิเคราะห์ หนังสั้น หรือภาพยนตร์

      กิจกรรม  การสอนเพื่อเน้นความสำคัญของการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียน โดยสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนและมีเกณฑ์การประเมินที่  ชัดเจน   ต่อไปนี้คือตัวอย่าง

กิจกรรมที่อาจใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง:

https://www.youtube.com/watch?v=MyWcXO5ROaY

https://www.youtube.com/watch?v=77bBajifkxs

   

กิจกรรม: การสังเกตและวิเคราะห์การสื่อสารผ่านหนังสั้น/ภาพยนตร์

วัตถุประสงค์ของกิจกรรม:

  1. เพื่อให้นักศึกษามีโอกาสสังเกตการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียน
  2. เพื่อวิเคราะห์คุณค่าและผลกระทบของการสื่อสารที่มีต่อกระบวนการสอนและการเรียนรู้

ขั้นตอนของกิจกรรม:

1.แนะนำหนังสั้น หรือ ภาพยนตร์: เลือกหนังสั้นที่แสดงถึงการสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียน (10-15 นาที)

2.การสังเกต: ให้นักศึกษาดูหนังสั้นและมุ่งเน้นการสังเกตการสื่อสารที่เกิดขึ้น (20 นาที)

3.กลุ่มสนทนา: แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อวิเคราะห์

และถกเถียงเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาสังเกต (15 นาที)

4.นำเสนอ: แต่ละกลุ่มนำเสนอการวิเคราะห์ของตน (10 นาที)

5.สรุป: ผู้สอนสรุปความคิดเห็นจากนักศึกษาและเน้นย้ำบทเรียนที่ได้เรียนรู้ (5 นาที)


เกณฑ์การประเมิน:

1.การเข้าร่วม: นักศึกษามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการดูหนังสั้น/ภาพยนตร์ และการสนทนากลุ่ม

2.การวิเคราะห์: นักศึกษาสามารถวิเคราะห์และอธิบายประเด็นการสื่อสารที่สำคัญในหนังสั้น/ภาพยนตร์ได้ชัดเจน

3.การให้เหตุผล: นักศึกษาให้เหตุผลและตัวอย่างเพื่อสนับสนุนวิเคราะห์ของพวกเขา

4.การสื่อสาร: นักศึกษาสื่อสารได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพในระหว่างการนำเสนอ

5.การสรุป: นักศึกษาสามารถสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับการสื่อสารและผลกระทบต่อการสอนและการเรียนรู้

กิจกรรมนี้สร้างโอกาสให้นักศึกษาได้ทดลองและฝึกฝนทักษะการสังเกตและวิเคราะห์ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญสำหรับครูในการสื่อสารกับนักเรียน.


กิจกรรมตอบข้อคำถามเพื่อสะท้อนพฤติกรรมการสื่อสารของครูกับนักเรียนจากการชมหนังสั้น/ภาพยนตร์ พิจารณาและวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง:


1.คำถามเกี่ยวกับการรับรู้ของนักเรียน:

    "จากการดูหนังสั้น คุณคิดว่านักเรียนรับรู้หรือตีความสิ่งที่ครูพยายามสื่อสารไปในแบบใด?

  มีสถานการณ์ใดที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจหรือความไม่เข้าใจของนักเรียน

 ต่อข้อความที่ครูส่งมา?"


2.คำถามเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ทางการสื่อสาร:

    "อธิบายวิธีการสื่อสารของครูที่คุณสังเกตเห็น และวิเคราะห์ว่าวิธีเหล่านั้นมีผลต่อการสร้างสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของนักเรียนในห้องเรียนอย่างไร?"


3.คำถามเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการสื่อสาร:

    "หลังจากชมหนังสั้น/ภาพยนตร์ คุณคิดว่ามีสถานการณ์ใดบ้างที่การสื่อสารของครูอาจมีผลบวกหรือผล ลบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน? โปรดยกตัวอย่างและอธิบายเหตุผลของคุณ." ในการวิเคราะห์การสื่อสารในหนังสั้น/ภาพยนตร์ สามารถใช้แนวคิดและทฤษฎีต่าง ดังต่อไปนี้:


ทฤษฎีการสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication Theory): ใช้เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการสื่อสาร, ภาษากาย, และการใช้คำพูดระหว่างครูกับนักเรียน

ทฤษฎีการตอบสนองต่อการกระทำ (Response to Intervention, RTI): ช่วยให้เข้าใจว่าครูปรับเปลี่ยนวิธีสอนอย่างไรเมื่อพบกับปฏิกิริยาหรือความต้องการของนักเรียน

ทฤษฎีการสร้างความหมายร่วม (Co-construction of Meaning): ซึ่งเน้นว่าครูและนักเรียนสร้างความเข้าใจในเนื้อหาการเรียนรู้ผ่านการสื่อสารกันอย่างไร

ทฤษฎีการสอนแบบสร้างสรรค์ (Constructivist Teaching Theory): ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนและการส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจและสร้างความรู้ของตนเองจากประสบการณ์

เลือกใช้ทฤษฎีที่เหมาะสมที่สุดกับจุดประสงค์ของหนังสั้น/ภาพยนตร์ และที่สามารถช่วยให้นักศึกษาเชื่อมโยงและวิเคราะห์การสื่อสารที่เกิดขึ้นในหนังสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ.


 วัตถุประสงค์: ให้นักศึกษามีโอกาสสังเกตและวิเคราะห์คุณค่าของการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนในหนังสั้น เพื่อเข้าใจถึงความสำคัญของการสื่อสารในการสอนและการเรียนรู้.

 ตามlink  https://youtu.be/lT4k7CgIrmI?si=0JRAQcwVB67Lmcou 



วิธีการ: ลองดูว่าในหนังสั้น มีส่วนใดสอดคล้องกับการสื่อสารในองค์ความรู้ดังกล่าว หรือจะเป็นเรื่องของปัญหาในการสื่อสารที่รายงานไปแล้ว ท้ัง 16 หัวข้อร่วมด้วยก็ได้ค่ะ





  • รับชมภาพยนตร์: ให้นักศึกษารับชมภาพยนตร์เรื่อง "ครูและพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก" ที่ได้รับมอบหมายจากครู ให้รับชมอย่างตั้งใจและจดบันทึกเรื่องที่น่าสนใจ.
  • วิเคราะห์ฉากและบทสนทนา: ในช่วงเวลาที่กำหนด ให้นักศึกษาเลือกฉากหรือบทสนทนาที่มีการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนในภาพยนตร์ และวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร โดยพิจารณาสถานภาพทางสังคมและวัฒนธรรม และปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการสื่อสารในภาพยนตร์.
  • สะท้อนความคิดเห็น: ในช่วงเวลาที่กำหนด ให้นักศึกษาสะท้อนความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับคุณค่าของการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนในภาพยนตร์ โดยระบุช่วงเวลาหรือฉากที่สื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารในการสอนและการเรียนรู้ ให้สรุปความรู้สึกและความเข้าใจที่ได้จากการวิเคราะห์นี้อย่างชัดเจน.
การประเมิน: การประเมินคะแนนสามารถคิดจากความชัดเจนและความรู้สึกของการสะท้อนความคิดเห็น การวิเคราะห์และการนำเสนอของนักศึกษาในการประเมินคะ และให้รายงานในชั้นเรียนต่อไป