Saturday, December 21, 2024

กิจกรรม วิเคราะห์วีดีโอ ภาษาเพื่อการสื่อสารสำหรับครู

 คำสั่งกิจกรรม: การวิเคราะห์วิดีโอการสื่อสารภาษาอังกฤษสำหรับห้องเรียน

เป้าหมายของกิจกรรม:
ให้นักศึกษาค้นหาและวิเคราะห์วิดีโอในโลกโซเชียลที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแสดงถึง ทักษะการสื่อสารพื้นฐาน หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียน วิดีโอควรน่าสนใจ สนุก และนำไปใช้สอนหรือสื่อสารในห้องเรียนได้จริง

รายละเอียดงาน:

  1. การเลือกวิดีโอ:

    • นักศึกษาทุกคู่เลือก วิดีโอภาษาอังกฤษ 1 วิดีโอ จาก YouTube, TikTok, Instagram หรือ Facebook
    • วิดีโอต้องเกี่ยวข้องกับการสื่อสารภาษาอังกฤษพื้นฐานในชีวิตจริง เช่น การเล่าเรื่อง บทบาทสมมติ หรือเนื้อหาที่น่าสนใจ (ห้ามเป็นวิดีโอที่มีครูมาสอนหรือบรรยายโดยตรง)
    • ความยาวของวิดีโอ: 1-5 นาที
  2. การวิเคราะห์และอธิบาย:

    • ชมวิดีโอและตอบคำถามดังนี้:
      • เทคนิคหรือวลีใดที่ใช้ในวิดีโอ?
      • ทำไมวิดีโอนี้ถึงน่าสนใจสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ?
      • สามารถนำเทคนิคหรือวลีจากวิดีโอไปใช้ในการสื่อสารกับนักเรียนในห้องเรียนได้อย่างไร?
  3. การนำเสนอ:

    • สรุปการวิเคราะห์ของคุณใน PowerPoint 1 สไลด์ ซึ่งควรประกอบด้วย:
      • ชื่อและลิงก์ของวิดีโอ
      • สรุปประเด็นสำคัญที่ได้เรียนรู้
      • วิธีนำไปใช้ในห้องเรียน
      • สามารถใส่ภาพหรือสัญลักษณ์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจได้
  4. การส่งงาน:

    • ส่งลิงก์วิดีโอและ PowerPoint ผ่าน Google Classroom

เกณฑ์การให้คะแนน (10 คะแนน):

  1. ความเกี่ยวข้องของวิดีโอ (2 คะแนน): วิดีโอตรงกับความต้องการหรือไม่
  2. การวิเคราะห์เนื้อหา (4 คะแนน): วิเคราะห์ได้ชัดเจนและลึกซึ้ง
  3. ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ PowerPoint (2 คะแนน): การจัดเรียงและความน่าสนใจ
  4. การประยุกต์ใช้ในห้องเรียน (2 คะแนน): อธิบายได้ชัดเจน

ตัวอย่างวิดีโอที่เหมาะสม:

  • เรื่องเล่าหรือละครสั้นที่ใช้ภาษาอังกฤษพื้นฐาน
  • การสนทนาสั้นๆ ระหว่างเพื่อนเกี่ยวกับการเรียนในห้อง
  • การสมมติสถานการณ์ เช่น การให้คำแนะนำ การถามคำถาม หรือการกระตุ้นนักเรียน

หมายเหตุ:

  • ในอนาคต นักศึกษาจะนำกิจกรรมนี้เป็นแนวทางเพื่อ สร้างวิดีโอของตนเอง แสดงการสื่อสารในภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาทักษะการพูด คำศัพท์ และการสื่อสารที่ครูควรรู้

Thursday, December 12, 2024

ตอบคำถามการพูด

 ชมวีดีโอ แล้วตอบคำถาม

https://www.facebook.com/share/r/x8RF5FgNZk5ug8wP/?mibextid=8O0DfK

ตอบคำถาม2 ข้อ

๑ ความหมายของสิ่งนี้คืออะไร

๒ เราเห็นด้วยหรือไม่ เพราะอย่างไร

Sunday, December 8, 2024

การวิเคราะห์การอ่านสื่อและโฆษณา

 กิจกรรม

ให้นักศึกษา อ่านสื่อจาก link ที่ครูให้ แล้วตอบคำถาม ส่งใน google clssroom

https://www.coca-cola.com/th/th/media-center/coke-zero-sugar

https://www.coca-cola.com/th/th/media-center/coke-zero-sugar
5คำถามรู้ทันสื่อและโฆษณา
-สื่อนี้ใครเป็นเจ้าของ
-สื่อนี้ต้องการสื่อสารกับใคร
-สื่อหวังผลทำให้เราเชื่อหรือทำอะไร
-สื่อนี้มีรูปแบบการนำเสนออย่างไร
-สื่อต้องการทำให้รับรู้และรู้สึกอย่างไร มีอะไรไม่ถูกนำเสนอบ้าง

คำสั่งงาน: การวิเคราะห์สื่อโฆษณา Coke Zero Sugar

หัวข้อ: การรู้เท่าทันสื่อและการวิเคราะห์โฆษณา
คำอธิบาย: ให้นักศึกษาเข้าไปศึกษาสื่อโฆษณา Coke Zero Sugar จากลิงค์ Coca-Cola Media Center จากนั้นตอบคำถาม 5 ข้อต่อไปนี้ในรูปแบบของบทวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยตอบคำถามในมุมมองที่สะท้อนถึงความรู้เท่าทันสื่อและเจตนารมณ์ของผู้ผลิตสื่อ

คำถามสำหรับการวิเคราะห์:

  1. สื่อนี้ใครเป็นเจ้าของ?
    • วิเคราะห์ว่าเจ้าของสื่อมีบทบาทอย่างไร และวัตถุประสงค์ของการสร้างสื่อนี้คืออะไร
  2. สื่อนี้ต้องการสื่อสารกับใคร?
    • ระบุว่ากลุ่มเป้าหมายของสื่อนี้คือใคร (เช่น อายุ เพศ ความสนใจ) และเหตุใดสื่อนี้จึงดึงดูดกลุ่มคนเหล่านั้น
  3. สื่อหวังผลทำให้เราเชื่อหรือทำอะไร?
    • วิเคราะห์เจตนาหรือเป้าหมายที่แฝงในสื่อ เช่น การชักจูง ความต้องการซื้อ หรือการเปลี่ยนพฤติกรรม
  4. สื่อนี้มีรูปแบบการนำเสนออย่างไร?
    • อธิบายการใช้สี ภาพ ข้อความ หรือการออกแบบในโฆษณา เพื่อส่งเสริมการสื่อสารของสื่อ
  5. สื่อต้องการทำให้รับรู้และรู้สึกอย่างไร? มีอะไรไม่ถูกนำเสนอบ้าง?
    • วิเคราะห์ผลกระทบต่อความรู้สึกผู้ชม และระบุข้อมูลหรือประเด็นที่อาจถูกมองข้ามในสื่อนี้

กำหนดส่ง: ผ่าน Google Classroom 
คะแนนเต็ม: 10 คะแนน


รายละเอียดการประเมิน (10 คะแนน):

  1. ความถูกต้องและความเข้าใจในเนื้อหา (3 คะแนน):

    • การวิเคราะห์แสดงถึงความเข้าใจเจตนารมณ์ของสื่อและกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้อง
  2. การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (3 คะแนน):

    • ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบการนำเสนอและเจตนาที่ซ่อนเร้น
  3. การเชื่อมโยงกับหลักการรู้เท่าทันสื่อ (2 คะแนน):

    • ใช้หลักการรู้เท่าทันสื่อที่เรียนรู้มาในการอธิบาย
  4. การนำเสนออย่างมีเหตุผลและโครงสร้างที่ชัดเจน (2 คะแนน):

    • มีการเรียบเรียงคำตอบอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และสนับสนุนด้วยเหตุผล

สิ่งที่ควรเห็นจากการตอบคำถามของนักศึกษา:

  1. การระบุความเป็นเจ้าของและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน:
    นักศึกษาควรสามารถวิเคราะห์ว่า Coca-Cola เป็นเจ้าของสื่อและอธิบายว่าโฆษณานี้ออกแบบมาเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง

  2. การวิพากษ์เจตนาของสื่อ:
    เช่น การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ผลิตภัณฑ์หรือการชักจูงให้เกิดความสนใจใน Coke Zero Sugar

  3. การวิเคราะห์การนำเสนอ:
    นักศึกษาควรอธิบายได้ว่าโฆษณาใช้สีแดง การออกแบบที่มีพลัง และข้อความที่เน้นความอร่อยแบบไร้น้ำตาลเพื่อสร้างความรู้สึกพิเศษ

  4. การมองหาข้อมูลที่ไม่ได้ถูกนำเสนอ:
    เช่น ข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ หรือประเด็นด้านสุขภาพที่อาจไม่ได้กล่าวถึง

  5. การใช้ภาษาและการนำเสนอที่ชัดเจน:
    มีความเป็นมืออาชีพในการเขียนและวิเคราะห์โดยอ้างอิงข้อมูลในสื่อ

แนวการวิเคราะห์ และมุมมองที่น่าสนใจในกิจกรรม

การสะท้อนให้เห็นกลยุทธ์ที่ Coca-Cola ใช้ในการสร้างแบรนด์ โดยเน้นไปที่โลกโซเชียลและกลุ่มเป้าหมายที่มีอิทธิพลสูงอย่าง Gen Z (เจเนอเรชัน Z) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่สอดคล้องกับการเลือกทำการตลาดในรูปแบบนี้ได้อย่างน่าสนใจ

1. ความเกี่ยวข้องระหว่าง Gen Z กับโฆษณาเครื่องดื่ม

  • Gen Z เป็นกลุ่มที่รักความท้าทายและความใหม่:
    Coca-Cola Zero Sugar ถูกนำเสนอให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่มองหาสิ่งที่ใหม่และไม่เหมือนใคร เช่น รสชาติ "ซ่า" แต่ไม่มีน้ำตาล ซึ่งเป็นจุดขายที่ตรงกับความต้องการของคนที่ใส่ใจสุขภาพแต่ยังต้องการความสนุกในการบริโภค

  • Gen Z ใช้เวลาในโลกโซเชียลมีเดียสูง:
    การสร้างแคมเปญในโซเชียลมีเดียและร่วมมือกับผู้มีอิทธิพล (Influencers) ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มนี้ได้อย่างตรงจุด เพราะ Gen Z มักติดตามและได้รับแรงบันดาลใจจาก Influencers ที่พวกเขาชื่นชอบ

  • Gen Z ชื่นชอบการแสดงออกถึงตัวตน (Self-Expression):
    โฆษณาเครื่องดื่มที่เน้นความแปลกใหม่และการมีส่วนร่วม (เช่น อีเวนต์) ทำให้ Gen Z มีพื้นที่ในการแสดงตัวตนผ่านประสบการณ์หรือการถ่ายภาพกับสินค้า

2. การดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้กับไลฟ์สไตล์ของ Gen Z

  • เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ:
    Gen Z ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่าเจเนอเรชันก่อนหน้า พวกเขามองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องสุขภาพและความเพลิดเพลิน ซึ่ง Coke Zero Sugar ถูกนำเสนอในฐานะตัวเลือกที่เหมาะสม

  • การบริโภคที่สร้างภาพลักษณ์ (Social Consumption):
    เครื่องดื่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงสินค้า แต่ยังเป็น "สัญลักษณ์" ของไลฟ์สไตล์ เช่น การดื่ม Coke Zero Sugar ในสถานการณ์ที่ดู "ทันสมัย" และ "สนุกสนาน" ที่สื่อโฆษณานำเสนอ

  • ความเชื่อมโยงกับอีเวนต์และประสบการณ์:
    การจัดกิจกรรมหรือแคมเปญโฆษณาที่เชื่อมโยงกับดนตรี กีฬา หรือไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ช่วยทำให้แบรนด์นี้ดู "ใกล้ชิด" กับ Gen Z

     ข้อควรสังเกตสำหรับนักศึกษา

หากคุณต้องการให้นักศึกษาวิเคราะห์ประเด็นนี้ ควรให้พวกเขาเชื่อมโยงกับคำถามดังนี้:

  • กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของสื่อนี้คือใคร?
  • การนำเสนอของโฆษณานี้ส่งผลต่อความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายอย่างไร?
  • สื่อนี้พยายามเชื่อมโยงกับค่านิยมของคนรุ่นใหม่ในด้านใดบ้าง (เช่น สุขภาพ ความทันสมัย ความแปลกใหม่)?
  • โฆษณานี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์อย่างไรเกี่ยวกับการบริโภค Coke Zero Sugar ในสายตาของ Gen Z?

ตัวอย่างคำตอบที่คาดหวังจากผู้เรียน

นักศึกษาอาจวิเคราะห์ว่า

  • สื่อนี้พยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องดื่มกับไลฟ์สไตล์ที่ดู "สนุก" และ "เฮลท์ตี้" เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย Gen Z
  • กลยุทธ์การตลาดผ่าน Influencers และอีเวนต์ช่วยเพิ่มความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่ในเวลาเดียวกัน อาจไม่ได้สะท้อนข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น ผลกระทบระยะยาวของการบริโภคสารให้ความหวานทดแทน

การพูดถึง Gen Z และการบริโภคแบบมีวิจารณญาณจะช่วยกระตุ้นให้นักศึกษามองลึกลงไปในโฆษณานี้อย่างมีความรอบคอบ

Thursday, December 5, 2024

การเขียนบทพูด(Script)

         ความสำคัญของการเขียนบทพูด

  1. ช่วยให้ผู้พูดมีความมั่นใจ:
    การมีบทพูดช่วยลดความประหม่าและทำให้ผู้พูดมั่นใจมากขึ้น เพราะมีโครงสร้างและแนวทางที่ชัดเจน
  2. สื่อสารได้ชัดเจน:
    บทพูดที่ดีช่วยให้ข้อความถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นระเบียบและตรงประเด็น
  3. เพิ่มประสิทธิภาพในการโน้มน้าวใจ:
    การเขียนบทพูดอย่างมีเหตุผลและใช้อารมณ์ที่เหมาะสมช่วยโน้มน้าวใจผู้ฟังได้ดีกว่า
  4. เหมาะสมกับเวลา:
    บทพูดที่เตรียมไว้ช่วยให้ผู้พูดสามารถจัดการเวลาได้ดี โดยไม่ใช้เวลานานเกินไปหรือพูดวนไปมา

    องค์ประกอบของบทพูดที่ดี

    1. บทนำ (Introduction):
      เปิดเรื่องให้น่าสนใจ เช่น ใช้คำถาม คำพูดที่กระตุ้นอารมณ์ หรือเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
    2. เนื้อหา (Body):
      จัดลำดับเนื้อหาอย่างมีเหตุผล ใช้ข้อมูลสนับสนุน เช่น สถิติ เรื่องเล่า หรือคำพูดของบุคคลสำคัญ
    3. บทสรุป (Conclusion):
      ย้ำประเด็นสำคัญและปิดท้ายด้วยคำพูดที่น่าจดจำ เช่น การทิ้งคำถามให้คิดต่อหรือข้อความกระตุ้นแรงบันดาลใจ

    วิธีการใช้บทพูดให้เกิดประโยชน์

    1. ฝึกซ้อมก่อนการพูดจริง:
      ฝึกอ่านบทพูดหลายๆ รอบเพื่อให้คุ้นเคยและสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    2. ปรับใช้ภาษากาย (Body Language):
      ใช้ท่าทาง สายตา และน้ำเสียงให้สอดคล้องกับบทพูด
    3. ไม่อ่านตามบทพูดทั้งหมด:
      ใช้บทพูดเป็นแนวทาง แต่พยายามพูดด้วยคำพูดของตัวเองเพื่อสร้างความเป็นธรรมชาติ
    4. ปรับบทพูดตามสถานการณ์:
      หากพบว่าผู้ฟังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือมีข้อสงสัย ควรสามารถปรับบทพูดได้ทันที

หัวข้อกิจกรรม:

การเรียนรู้เรื่องการใช้บทพูด (Script) อย่างมืออาชีพ

ttps://youtu.be/bR8YHGrM0Do?si=TeWAMyHRK2q60_Kl

รายละเอียด:

  1. นักศึกษาจะชมวิดีโอเกี่ยวกับการใช้บทพูด (Script) ซึ่งอธิบายถึง

    • ความสำคัญของการใช้ Script
    • วิธีการเขียน Script ที่มีประสิทธิภาพ
    • การนำ Script ไปใช้ในการพูดจริง
  2. หลังจากชมวิดีโอเสร็จ
    นักศึกษาต้องสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้และตอบคำถามดังต่อไปนี้ในรูปแบบเรียงความความยาวประมาณ 200-300 คำ:

    • คำถามที่ 1: คุณคิดว่าการเขียนและการใช้ Script มีความสำคัญอย่างไรต่อการพูด?
    • คำถามที่ 2: หากคุณต้องพูดในที่สาธารณะ คุณจะนำวิธีการจากวิดีโอมาปรับใช้ในแบบของคุณอย่างไร?
    • คำถามที่ 3: มีส่วนใดในวิดีโอที่คุณชอบหรือคิดว่าเป็นประโยชน์ที่สุด? เพราะอะไร?
  3. นอกจากการสรุปแล้ว นักศึกษาต้องให้ตัวอย่างว่าหากคุณต้องพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณจะเขียน Script ในหัวข้อที่สนใจอย่างไร (ตัวอย่างประมาณ 3-5 บรรทัด)


คะแนนกิจกรรม: 10 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคะแนน:

  1. การสรุปเนื้อหาในวิดีโอ (4 คะแนน)

    • ครบถ้วน: มีประเด็นสำคัญจากวิดีโอ
    • ถูกต้อง: เข้าใจและตีความเนื้อหาได้ดี
  2. การตอบคำถาม (3 คะแนน)

    • ตอบคำถามได้ครบถ้วน
    • มีความคิดวิเคราะห์และแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์
  3. ตัวอย่างการใช้ Script (3 คะแนน)

    • ตัวอย่างที่นำเสนอมีความชัดเจนและเกี่ยวข้อง
    • แสดงความสามารถในการปรับใช้แนวคิดจากวิดีโอ

Saturday, November 30, 2024

การเขียนสะท้อนคิด-ภาษาเพื่อการสื่อสารครู

 

กิจกรรม สะท้อนคิด  

week 4 - 30/11/24
เรียนรู้เรื่องการการเขียนสำหรับครู กิจกรรมสะท้อนคิด
จากวีดีโอ  https://www.youtube.com/watch?v=5vMAB2eZw3s
การสะท้อนคิดจะช่วยให้เราเข้าใจบทเรียน เป้นการทบทวน ตัวอย่างดังนี้ แบบ ง่าย

ประโยชน์ของการเขียนแบบนี้
คือการที่ได้ทบทวนสิ่งที่เรียนมา และได้ตกตะกอนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะที่เรียน
รวมถึงการเช็คความเข้าใจ ช่องว่าง หรือสิ่งที่ต้องเติมเต็มต่อไปเพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้น


คำถามในกิจกรรม นี้
1 สรุปเรื่องที่ได้ฟังมาในวีดีโอ
2 อธิบายคำว่า  Beling กับ คำว่า Dead air  คืออะไร และ เกี่ยวข้องอย่างไรกับการเรียนการสอน
3 จงทำการสะท้อนคิด refletion สมาชิก  หรือคู่ของเรา มา 2-3 ข้อ บอกที่ดี และข้อที่ควรปรับปรุง



Thursday, November 28, 2024

การพูดโน้มน้าว

 ชมวีดีโอ และวิเคราะห์

กิจกรรมวิเคราะห์การพูดโน้มน้าวใจ (สำหรับนักศึกษา 8-10 คนต่อกลุ่ม)

วัตถุประสงค์ของกิจกรรม

  1. เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจหลักการและจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการพูดโน้มน้าว
  2. เพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม

  1. เปิดกิจกรรม

    • ผู้สอนอธิบายเป้าหมายของกิจกรรมและเนื้อหาเกี่ยวกับการพูดโน้มน้าวใจ เช่น 5 เทคนิคที่กล่าวถึง
    • แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มเดิม กลุ่มละ 8-10 คน
  2. การชมวิดีโอ

    • เปิดวิดีโอคลิปที่เตรียมไว้เกี่ยวกับการพูดโน้มน้าวใจ (ระยะเวลาไม่เกิน 10-15 นาที)
    • ให้นักศึกษาจดบันทึกสิ่งที่พบว่าน่าสนใจ เช่น ข้อคิด หลักการ เทคนิค หรือจิตวิทยาที่ผู้พูดใช้
  3. การวิเคราะห์ในกลุ่ม

    • หลังชมวิดีโอ ให้นักศึกษาในแต่ละกลุ่มอภิปรายกันในประเด็นต่อไปนี้:
      • ผู้พูดใช้เทคนิคหรือหลักการใดที่โดดเด่นใน 5 เทคนิคที่กล่าวถึง?
      • เทคนิคใดที่สำคัญที่สุดสำหรับการโน้มน้าวในบริบทนี้?
      • ถ้าคุณเป็นผู้พูด คุณจะพัฒนาเพิ่มเติมอย่างไร?
    • แต่ละกลุ่มเตรียมสรุปผลการวิเคราะห์เป็นแนวคิดสำคัญ
  4. การนำเสนอผลการวิเคราะห์

    • แต่ละกลุ่มเลือกตัวแทน 1-2 คน เพื่อสรุปและนำเสนอผลการวิเคราะห์ภายใน 3-5 นาที
    • ตัวแทนควรกล่าวถึงเทคนิคที่พบและความสำคัญของเทคนิคนั้น ๆ พร้อมเหตุผลสนับสนุน
  5. สรุปและแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    • ผู้สอนรวบรวมและสรุปข้อมูลจากการนำเสนอของแต่ละกลุ่ม
    • อภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสำคัญของจิตวิทยาการพูดโน้มน้าวในชีวิตจริง เช่น ในที่ทำงานหรือการเจรจาต่อรอง

https://www.youtube.com/watch?v=VrUoMBEeEiE



ตัวอย่าง ชิ้นงานดีๆ 











Saturday, November 23, 2024

การวิเคราะห์วีดีโอ (ภาษาเพื่อการสื่อสารของครู)

         จากกิจกรรม ที่ให้นักศึกษาได้วิเคราะห์ การสื่อสารของครูในชั้นเรียน  ตามการจัดการเรียนการสอนของครู มี ขั้นตอนและกระบวนการสอน ดังนี้  

กิจกรรม: การวิเคราะห์และสะท้อนเรื่องการสื่อสารในภาพยนตร์เรื่อง "ครูและพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก"
วัตถุประสงค์: ให้นักศึกษามีโอกาสสังเกตและวิเคราะห์คุณค่าของการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนในภาพยนตร์ เพื่อเข้าใจถึงความสำคัญของการสื่อสารในการสอนและการเรียนรู้.
วิธีการ:
รับชมภาพยนตร์: ให้นักศึกษารับชมภาพยนตร์เรื่อง "ครูและพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก" ที่ได้รับมอบหมายจากครู ให้รับชมอย่างตั้งใจและจดบันทึกเรื่องที่น่าสนใจ.
วิเคราะห์ฉากและบทสนทนา: ในช่วงเวลาที่กำหนด ให้นักศึกษาเลือกฉากหรือบทสนทนาที่มีการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนในภาพยนตร์ และวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร โดยพิจารณาสถานภาพทางสังคมและวัฒนธรรม และปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการสื่อสารในภาพยนตร์.
สะท้อนความคิดเห็น: ในช่วงเวลาที่กำหนด ให้นักศึกษาสะท้อนความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับคุณค่าของการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนในภาพยนตร์ โดยระบุช่วงเวลาหรือฉากที่สื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารในการสอนและการเรียนรู้ ให้สรุปความรู้สึกและความเข้าใจที่ได้จากการวิเคราะห์นี้อย่างชัดเจน.
การประเมิน: การประเมินคะแนนสามารถคิดจากความชัดเจนและความรู้สึกของการสะท้อนความคิดเห็น การวิเคราะห์และการนำเสนอของนักศึกษาในการประเมิน

เสนอตัวอย่างของผลกิจกรรม อย่างง่ายๆ ที่พบ ไปจนถึงการเสนอกิจกรรมที่มีความสมบูรณ์ :






Friday, November 22, 2024

กิจกรรม สะท้อนคิด (ภาษาเพื่อการสื่อสาร)

 กิจกรรมสะท้อนคิด

            ให้นักศึกษาตั้งคำถามเกี่ยวกับตนเองโดยเพื่อนจะถามคำถามหนึ่งคำถามจากความรู้ที่ได้เรียน ถือเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้สะท้อนความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้และเชื่อมโยงกับประสบการณ์ตนเอง  

 

1. วัตถุประสงค์ของกิจกรรม:

เพื่อให้นักศึกษาได้สะท้อนถึงการเรียนรู้และประสบการณ์ของตนเอง

ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการตั้งคำถามและให้คำตอบจากเพื่อนร่วมกลุ่ม

พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์

2. ขั้นตอนการจัดกิจกรรม:

ขั้นตอนที่ 1: อธิบายแนวคิดการสะท้อนคิดตนเอง

ก่อนเริ่มกิจกรรม อธิบายให้นักศึกษาเข้าใจว่า "การสะท้อนคิดตนเอง" คืออะไร เช่น การทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ วิเคราะห์ประสบการณ์ ความรู้สึก และการกระทำของตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองในอนาคต

ขั้นตอนที่ 2: แบ่งกลุ่มนักศึกษา

แบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่มย่อย (เช่น กลุ่มละ 3-4 คน) โดยให้ทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 3: ให้แต่ละคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการเรียนรู้ของตนเอง

ให้นักศึกษาแต่ละคนตั้งคำถามที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของตัวเองจากเนื้อหาที่เรียนผ่านมา ตัวอย่างคำถาม:

“ฉันได้เรียนรู้อะไรจากหัวข้อนี้ที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน?”

“สิ่งใดในเนื้อหาที่เรียนรู้ที่ฉันรู้สึกว่ายังไม่เข้าใจดีพอ?”

“สิ่งที่ฉันสามารถพัฒนาได้จากบทเรียนนี้คืออะไร?”

“ฉันสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร?”

“สิ่งใดที่ฉันเรียนรู้แล้วรู้สึกว่าเป็นความท้าทายมากที่สุด?”

ขั้นตอนที่ 4: เพื่อนในกลุ่มถามคำถามจากการสะท้อนคิด

หลังจากที่แต่ละคนได้สะท้อนคิดแล้ว ให้เพื่อนในกลุ่มถามคำถามคนละ 1 คำถามเพื่อเพิ่มเติมหรือกระตุ้นความคิดเชิงลึก เช่น:

“คุณคิดว่าการนำสิ่งนี้ไปใช้จริงจะเจออุปสรรคอะไร?”

“คุณสามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงวิธีคิดนี้ในอนาคตอย่างไร?”

“มีสิ่งใดในประสบการณ์ของคุณที่สามารถเปรียบเทียบกับบทเรียนนี้ได้บ้าง?”

ขั้นตอนที่ 5: การแบ่งปันและแลกเปลี่ยน

แต่ละคนจะต้องตอบคำถามที่เพื่อนได้ถามไว้ การตอบควรแสดงให้เห็นถึงการทบทวนและการสะท้อนคิดอย่างจริงจัง

ขั้นตอนที่ 6: การประเมินและให้คำแนะนำ

หลังจากที่ทุกคนได้แลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบกันแล้ว ให้แต่ละกลุ่มสรุปความคิดเห็นและข้อสังเกตที่ได้จากการสนทนา เช่น การค้นพบประเด็นที่น่าสนใจ หรือข้อเสนอแนะในการพัฒนาตนเองในอนาคต

3. เกณฑ์การให้คะแนน (10 คะแนน):

ความสามารถในการตั้งคำถามที่สะท้อนความคิดตนเอง (3 คะแนน): คำถามควรเชื่อมโยงกับการเรียนรู้และความสามารถในการนำความรู้นั้นไปพัฒนา

คุณภาพของคำตอบที่สะท้อนคิด (3 คะแนน): คำตอบควรมีความชัดเจน ลึกซึ้ง และแสดงถึงความเข้าใจ

การมีส่วนร่วมในการถามคำถามของเพื่อน (2 คะแนน): การตั้งคำถามที่ช่วยกระตุ้นให้เพื่อนสะท้อนคิดได้มากขึ้น

การให้ข้อเสนอแนะและการสนับสนุนเพื่อนร่วมกลุ่ม (2 คะแนน): ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อเพื่อน

4. การสรุปกิจกรรม:

ปิดกิจกรรมด้วยการให้แต่ละกลุ่มนำเสนอสั้น ๆ ว่าพวกเขาได้เรียนรู้อะไรจากการสะท้อนคิดและคำถามของเพื่อน ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาเห็นมุมมองที่หลากหลายและการพัฒนาตนเอง

 

Wednesday, November 20, 2024

การพูดโน้มน้าว

กิจกรรมการพูดโน้มน้าว

กิจกรรมวิเคราะห์การพูดโน้มน้าวใจ (สำหรับนักศึกษา 8-10 คนต่อกลุ่ม)

วัตถุประสงค์ของกิจกรรม

  1. เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจหลักการและจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการพูดโน้มน้าว
  2. เพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม

  1. เปิดกิจกรรม

    • ผู้สอนอธิบายเป้าหมายของกิจกรรมและเนื้อหาเกี่ยวกับการพูดโน้มน้าวใจ เช่น 5 เทคนิคที่กล่าวถึง
    • แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มเดิม กลุ่มละ 8-10 คน
  2. การชมวิดีโอ

    • เปิดวิดีโอคลิปที่เตรียมไว้เกี่ยวกับการพูดโน้มน้าวใจ (ระยะเวลาไม่เกิน 10-15 นาที)
    • ให้นักศึกษาจดบันทึกสิ่งที่พบว่าน่าสนใจ เช่น ข้อคิด หลักการ เทคนิค หรือจิตวิทยาที่ผู้พูดใช้
  3. การวิเคราะห์ในกลุ่ม

    • หลังชมวิดีโอ ให้นักศึกษาในแต่ละกลุ่มอภิปรายกันในประเด็นต่อไปนี้:
      • ผู้พูดใช้เทคนิคหรือหลักการใดที่โดดเด่นใน 5 เทคนิคที่กล่าวถึง?
      • เทคนิคใดที่สำคัญที่สุดสำหรับการโน้มน้าวในบริบทนี้?
      • ถ้าคุณเป็นผู้พูด คุณจะพัฒนาเพิ่มเติมอย่างไร?
    • แต่ละกลุ่มเตรียมสรุปผลการวิเคราะห์เป็นแนวคิดสำคัญ
  4. การนำเสนอผลการวิเคราะห์

    • แต่ละกลุ่มเลือกตัวแทน 1-2 คน เพื่อสรุปและนำเสนอผลการวิเคราะห์ภายใน 3-5 นาที
    • ตัวแทนควรกล่าวถึงเทคนิคที่พบและความสำคัญของเทคนิคนั้น ๆ พร้อมเหตุผลสนับสนุน
  5. สรุปและแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    • ผู้สอนรวบรวมและสรุปข้อมูลจากการนำเสนอของแต่ละกลุ่ม
    • อภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสำคัญของจิตวิทยาการพูดโน้มน้าวในชีวิตจริง เช่น ในที่ทำงานหรือการเจรจาต่อรอง
  6. แนวทางการประเมินผล

    1. เนื้อหาที่วิเคราะห์: การอ้างอิงถึงเทคนิคที่เกี่ยวข้อง (5 เทคนิคที่เกี่ยวกับการพูดโน้มน้าว) และการเชื่อมโยงกับตัวอย่างในวิดีโอ
    2. การอภิปรายในกลุ่ม: การมีส่วนร่วมและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
    3. การนำเสนอ: ความชัดเจน สั้นกระชับ และเหตุผลที่สนับสนุนข้อสรุป

    หมายเหตุสำหรับนักศึกษา:

    • การนำเสนอควรใช้ภาษาที่ชัดเจนและมีความมั่นใจ
    • ให้ทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และเตรียมตัวเพื่อนำเสนอ

Tuesday, November 5, 2024

ภาษาเพื่อการสื่อสาร


กิจกรรมภาษาเพื่อการสื่อสาร 1


คำสั่งสำหรับกิจกรรม: “เรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ?”

คำสั่ง:

  1. แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีหน้าที่เล่าเรื่อง 2 เรื่อง ประกอบด้วย เรื่องจริง และ เรื่องเท็จ อย่างละ 1 เรื่อง
  2. ในการเล่าเรื่องแต่ละกลุ่ม:
    • เล่าเรื่องที่เตรียมมาให้เพื่อนๆ ฟัง (สามารถเป็นเรื่องที่อ่าน ฟัง หรือมีประสบการณ์มาก็ได้)
    • ใช้เวลาเล่าเรื่องไม่เกิน 5 นาที (สามารถใช้สื่อประกอบเช่น PPT ได้)
    • หลังจากเล่าเรื่องทั้งสองจบแล้ว ให้กลุ่มนั้นถามเพื่อนในห้องว่า “เรื่องใดเป็นเรื่องจริง?”
  3. ให้เพื่อนในห้องช่วยกันตอบ พร้อมอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงคิดว่าเป็นเรื่องจริง
  4. กลุ่มที่เล่าเฉลยคำตอบ และสรุปเหตุผลเพิ่มเติมสั้นๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน

เวลา:

  • กิจกรรมนี้ใช้เวลารวมประมาณ 30 นาที:
    • เวลาสำหรับการเล่าเรื่องแต่ละกลุ่ม (5 นาทีต่อกลุ่ม) และเวลาเฉลย

ข้อกำหนดการเล่า:

  • การเล่าควรมีความชัดเจน ครบถ้วน และสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ฟัง
  • สามารถใช้สื่อ PPT เพื่อช่วยในการเล่าเรื่องและนำเสนอได้ แต่ควรจำกัดไม่เกิน 5 สไลด์

เกณฑ์การให้คะแนน (20 คะแนน)

  1. ความถูกต้องและการเลือกเรื่อง (5 คะแนน):

    • เรื่องที่เลือกมีความเหมาะสมและชัดเจน
    • มีการแบ่งเรื่องจริงและเรื่องเท็จได้อย่างน่าสนใจและชัดเจน
  2. การนำเสนอ (10 คะแนน):ความชัดเจนในการเล่าเรื่อง (5 คะแนน): เล่าเรื่องได้ชัดเจนและครบถ้วน

      • การใช้สื่อ (PPT) (3 คะแนน): ใช้สื่อประกอบได้อย่างเหมาะสมและเสริมความน่าสนใจ
      • การจัดการเวลา (2 คะแนน): เล่าเรื่องไม่เกินเวลา 5 นาทีตามที่กำหนด
    1. การตอบคำถามและการเฉลย (5 คะแนน):

      • ความสามารถในการให้เหตุผลและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าได้ดี
      • การเฉลยและสรุปผลอย่างน่าสนใจ สร้างความเข้าใจให้กับเพื่อนในห้อง
      • ความชัดเจนในการเล่าเรื่อง (5 คะแนน): เล่าเรื่องได้ชัดเจนและครบถ้วน
      • การใช้สื่อ (PPT) (3 คะแนน): ใช้สื่อประกอบได้อย่างเหมาะสมและเสริมความน่าสนใจ
      • การจัดการเวลา (2 คะแนน): เล่าเรื่องไม่เกินเวลา 5 นาทีตามที่กำหนด
    2. การตอบคำถามและการเฉลย (5 คะแนน):

      • ความสามารถในการให้เหตุผลและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าได้ดี
      • การเฉลยและสรุปผลอย่างน่าสนใจ สร้างความเข้าใจให้กับเพื่อนในห้อง









    • ตัวอย่างชิ้นงาน

สรุปมารู้จักคำว่าการสื่อสาร และความสำคัญกัน

 การสื่อสารมีความสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการเรียน เพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และความรู้สึกต่าง ๆ อย่างเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมค่ะ โดยสามารถแบ่งความสำคัญของการสื่อสารออกได้เป็นข้อหลัก ๆ ดังนี้:

1. การสร้างความเข้าใจร่วมกัน

  • การสื่อสารช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นต้องการจะสื่อ และในทางกลับกันช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเราด้วยเช่นกัน การสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพทำให้ไม่เกิดความเข้าใจผิด ช่วยลดความขัดแย้งและเพิ่มความราบรื่นในการทำงานร่วมกัน

2. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

  • การสื่อสารที่ดีช่วยให้เราเชื่อมต่อกับผู้คนรอบข้างได้ ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และสังคม การสื่อสารเชิงบวกช่วยสร้างความไว้วางใจและความเคารพระหว่างกัน ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืน

3. การตัดสินใจและแก้ไขปัญหา

  • การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิเคราะห์ปัญหา และเลือกตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและครอบคลุม การพูดคุยและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์นำไปสู่การตัดสินใจที่ดีและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การถ่ายทอดความรู้และพัฒนาการเรียนรู้

  • การสื่อสารเป็นช่องทางหลักในการส่งต่อความรู้และทักษะ การพูด ฟัง อ่าน และเขียน ทำให้เราสามารถแบ่งปันความรู้ใหม่ ๆ แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ

5. การบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคลและเป้าหมายร่วม

  • ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายส่วนบุคคลหรือเป้าหมายในงาน การสื่อสารที่ชัดเจนทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจวิธีการทำงานและเป้าหมายที่ต้องการ การสื่อสารที่ดีช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความสำเร็จที่ทั้งตัวบุคคลและทีมตั้งไว้

6. การสร้างบรรยากาศที่ดีและความพึงพอใจในที่ทำงาน

  • การสื่อสารที่เปิดกว้างและมีการตอบรับที่ดีช่วยลดความเครียด และส่งเสริมบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าในความคิดเห็นของตนเอง

7. การปรับตัวและสร้างความก้าวหน้า

  • การสื่อสารเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดและมุมมองใหม่ ๆ ซึ่งช่วยในการพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนรู้ งาน หรือการเข้าสังคม
กิจกรรมการวิเคราะห์สื่อ

    การวิเคราะห์เรื่องราวเพื่อให้รู้เท่าทันสื่อนั้นมีความสำคัญมากในปัจจุบัน เพราะสื่อและเรื่องราวต่างๆ ที่เราพบเห็นทุกวันอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เราจึงต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และรู้เท่าทันสื่อเพื่อแยกแยะความจริงจากข้อมูลที่บิดเบือน หรือเพียงแค่การบอกเล่าเรื่องราวทั่วไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางองค์ความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์เรื่องราวในกิจกรรมการเล่าเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ

1. ความรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)

การรู้เท่าทันสื่อคือทักษะในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างเนื้อหาผ่านสื่อหลากหลายประเภทอย่างมีวิจารณญาณ การรู้เท่าทันสื่อช่วยให้เราเข้าใจถึงแรงจูงใจของผู้ผลิตสื่อ วิเคราะห์เนื้อหาเพื่อแยกแยะความจริงจากการบิดเบือน และป้องกันการเข้าใจผิดจากข่าวหรือข้อมูลปลอม


2. แนวทางในการวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของเรื่องราว

การประเมินความจริงหรือเท็จของเรื่องราวที่ได้รับฟัง สามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ดังนี้

  • การพิจารณาแหล่งที่มาของเรื่องราว: ให้ตรวจสอบว่าเรื่องราวมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือหรือไม่ แหล่งที่เชื่อถือได้มักมาจากผู้เชี่ยวชาญหรืองานวิจัยที่มีหลักฐานประกอบ ไม่ใช่จากคำบอกเล่าที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

  • การวิเคราะห์เนื้อหา: พิจารณาว่าเนื้อหาที่เล่ามีความสอดคล้องและสมเหตุสมผลหรือไม่ เรื่องราวที่เป็นความจริงมักจะมีข้อมูลที่สมเหตุสมผลและมีลำดับเหตุการณ์ชัดเจน

  • การตรวจสอบอคติ (Bias): บางครั้งสื่อหรือผู้เล่าอาจมีอคติซ่อนอยู่ เช่น ต้องการชักจูงให้ผู้ฟังเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้ฟังควรพิจารณาว่าเรื่องนั้นมีการบิดเบือนความจริงหรือใช้ภาษาที่กระตุ้นอารมณ์มากเกินไปหรือไม่

  • การสังเกตถึงการใช้ภาษาที่ผิดปกติหรือเกินจริง: การใช้ภาษาที่เกินจริงเช่น การกล่าวเกินความจริง การใช้คำว่า "ทุกคน" หรือ "ไม่มีใคร" มักเป็นสัญญาณที่ทำให้เรื่องราวไม่น่าเชื่อถือ เพราะในความจริงมีน้อยครั้งที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างครอบคลุมถึงขนาดนั้น

  • การประเมินโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น: ลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เล่ามาเพื่อยืนยันหรือโต้แย้งกับสิ่งที่ได้ฟัง การอ้างอิงถึงข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับจากหลายแหล่งมักจะทำให้เรื่องราวน่าเชื่อถือมากขึ้น


3. การตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล

การตั้งคำถามเป็นทักษะที่สำคัญในการรู้เท่าทันสื่อ เราควรตั้งคำถามดังนี้เพื่อช่วยประเมินความน่าเชื่อถือ:

  • ผู้เล่าต้องการให้ผู้ฟังรู้สึกหรือเชื่ออย่างไร? การตั้งคำถามเช่นนี้ช่วยให้เราระวังและมองหาเจตนาหรืออคติที่อาจอยู่ในเรื่องราว
  • มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานอะไรที่ยืนยันเรื่องนี้ได้หรือไม่? ข้อมูลหรือหลักฐานที่ยืนยันสามารถทำให้เรื่องราวดูมีน้ำหนักมากขึ้น
  • มีข้อมูลอื่นที่ให้ความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างจากนี้หรือไม่? การมองเรื่องราวจากหลายมุมมองช่วยให้เราเห็นภาพที่ครบถ้วนและหลากหลาย

4. การรู้เท่าทันสื่อในการใช้งานจริง

การรู้เท่าทันสื่อไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธข้อมูลทุกอย่างที่ไม่ตรงกับความเชื่อของเรา แต่หมายถึงการเปิดรับฟังพร้อมกับการวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ เพื่อให้เราตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล


Saturday, October 5, 2024

การเขียนการสะท้อนคิด

 กิจกรรมการเขียนการสะท้อนคิด- การตั้งคำถาม

กิจกรรมที่ 1 (week 3-ปี 2)

1.  วัตถุประสงค์ของกิจกรรม:

ให้นักศึกษาได้ฝึกการตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับการสะท้อนคิดตนเอง (Reflection) ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้ การวิเคราะห์ประสบการณ์ และการวางแผนเพื่อพัฒนาตนเอง
2.  คำชี้แจงกิจกรรม:
นักศึกษาแต่ละคนให้ตั้งคำถาม 5 ข้อที่เกี่ยวกับการสะท้อนคิดตนเอง โดยยึดตามแนวคิดต่อไปนี้:
  • การสะท้อนคิดนำไปสู่การเรียนรู้
  • การสะท้อนคิดเป็นกระบวนการแบบ active และต่อเนื่อง
  • การสะท้อนคิดมีลักษณะเป็นวัฏจักร
  • การสะท้อนคิดอาศัยการมองในหลายมิติ
3.  ตัวอย่างคำถามที่นักศึกษาสามารถตั้งได้:
(สามารถใช้เป็นแนวทางหรือแรงบันดาลใจในการตั้งคำถาม)
1.   การสะท้อนความคิดนำไปสู่การเรียนรู้
  • เมื่อฉันสะท้อนความคิดของตัวเอง ฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา?
  • การไตร่ตรองเรื่องใดที่ทำให้ฉันเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการจัดการสถานการณ์นั้น ๆ?
  • ฉันสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้จากการไตร่ตรองไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง?
2.   การสะท้อนความคิดเป็นกระบวนการแบบ active และต่อเนื่อง
  •  มีประสบการณ์ในอดีตใดบ้างที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในปัจจุบันของฉัน?
  • ฉันสามารถวางแผนอย่างไรในอนาคตเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเดิมจากประสบการณ์ที่สะท้อนกลับมา?
3.   การสะท้อนความคิดมีลักษณะเป็นวัฏจักร
  •     ครั้งสุดท้ายที่ฉันสะท้อนความคิดตนเอง ฉันได้นำผลจากการไตร่ตรองนั้นไปพัฒนาอย่างไร?
  •     การไตร่ตรองเรื่องใดที่ทำให้ฉันได้แนวคิดใหม่ในการจัดการกับปัญหาที่เผชิญอยู่?
4.  การสะท้อนความคิดอาศัยการมองในหลายมิติ
  • ฉันได้พิจารณามุมมองของผู้อื่นอย่างไรบ้างเมื่อสะท้อนความคิดเกี่ยวกับปัญหาหรือสถานการณ์นั้น?
  • มีมุมมองหรือสมมติฐานใดบ้างที่ฉันเคยเชื่อถือ แต่พบว่าต้องปรับแก้เมื่อฉันได้สะท้อนความคิดตนเอง?
4.   ขั้นตอนการทำกิจกรรม:
  • ให้นักศึกษาเขียนคำถามสะท้อนคิดตนเองจำนวน 4-5 ข้อ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และสรุปคำตอบจากการคิดไตร่ตรองตนเอง
  •  แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อแลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบที่แต่ละคนได้ตั้งขึ้น
  • ให้กลุ่มเพื่อนในกลุ่มช่วยกันให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์
5.    การให้คะแนนกิจกรรม (คะแนนเต็ม 10 คะแนน):
  • ความสร้างสรรค์และความลึกซึ้งของคำถามที่ตั้งขึ้น (4 คะแนน)
  • ความสอดคล้องของคำถามกับแนวคิดที่นำเสนอในข้อความ (3 คะแนน)
  • การมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในกลุ่ม (3 คะแนน)
           กิจกรรมนี้จะช่วยให้นักศึกษาได้ฝึกคิดวิเคราะห์

            ให้นักศึกษาตั้งคำถามเกี่ยวกับตนเองโดยเพื่อนจะถามคำถามหนึ่งคำถามจากความรู้ที่ได้เรียน ถือเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้สะท้อนความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้และเชื่อมโยงกับประสบการณ์ตนเอง  

 


กิจกรรมสะท้อนคิดที่ 2 

กิจกรรมสะท้อนคิดในหัวข้อ “ย้อนมองการสอนของฉัน” (week 4)
ระยะเวลา: 15 นาที
วัตถุประสงค์:

  1. ให้นักศึกษาทบทวนและสะท้อนประสบการณ์การสอนในระดับปฐมวัย
  2. พัฒนาทักษะการเขียนเพื่อสะท้อนความคิด
  3. สร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่ม

ขั้นตอนการจัดกิจกรรม

  1. เกริ่นนำ (2 นาที)

    • ครูอธิบายเป้าหมายของกิจกรรม:

      “วันนี้เราจะทบทวนการสอนของตัวเองในห้องเรียนปฐมวัย โดยเขียนสะท้อนความรู้สึก ประสบการณ์ และสิ่งที่เราเรียนรู้จากการสอนนั้น เพื่อแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้รับรู้และแลกเปลี่ยนแนวคิดกัน”

    • แจกกระดาษหรือให้ใช้สมุด/เครื่องมือออนไลน์ที่นักศึกษามี
  2. การเขียนสะท้อนคิด (8 นาที)
    ให้นักศึกษาตอบคำถามต่อไปนี้:

    • คำถามที่ 1: เลือกกิจกรรมการสอนที่คุณประทับใจที่สุดในห้องเรียนปฐมวัยที่ผ่านมา และอธิบายว่าเพราะเหตุใดถึงประทับใจ
    • คำถามที่ 2: ในกิจกรรมการสอนนั้น เด็กๆ มีปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมอย่างไรที่ทำให้คุณรู้สึกว่าการสอนของคุณได้ผล (หรือไม่ได้ผล)
    • คำถามที่ 3: หากได้สอนกิจกรรมนี้อีกครั้ง คุณจะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไร และเพราะเหตุใด
  3. การแบ่งปัน (5 นาที)

    • ครูให้นักศึกษาอาสา 2-3 คน มาเล่าคำตอบของตัวเองให้เพื่อนๆ ฟัง (ใช้เวลาคนละไม่เกิน 1-2 นาที)
    • หากมีเวลาไม่พอ ให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ เป็นคู่ๆ
ครูให้ผู้เรียน สรุปเรื่องการสะท้อนคิดจาก วีดีโอ อีกครั้งรวมกันในห้องเรียน


Tuesday, September 24, 2024

งานเขียน บทที่ 1

 การออกแบบกิจกรรมการเขียนบทที่ 1 ของงานวิจัยหลักสูตรและการสอน

แนวคิดในการออกแบบกิจกรรม

นักศึกษาจะได้ฝึกทักษะการเขียนบทที่ 1 ของงานวิจัย โดยมีเป้าหมายให้นักศึกษาใช้ความรู้จากทฤษฎี แนวคิด และข้อมูลจากแหล่งข้อมูลวิจัยที่สำคัญในการกำหนดปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหา ในรูปแบบที่ชัดเจนและถูกต้องตามมาตรฐานการเขียนงานวิจัย พร้อมทั้งฝึกการเขียนอ้างอิงในรูปแบบ APA 7th edition ซึ่งช่วยพัฒนาความสามารถในการค้นคว้าและเชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติจริง

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม

  1. การศึกษาทฤษฎีและแนวคิด

    • นักศึกษาจะต้องค้นคว้าและศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจัยที่ตนเองสนใจ โดยใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น บทความวิจัย วารสาร และแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่ได้รับการยอมรับ
    • จากการศึกษา นักศึกษาต้องนำทฤษฎี แนวคิด หรือข้อมูลวิจัยที่พบ มาวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ในการเขียน "ที่มาและความสำคัญของปัญหา" ในบทที่ 1 ของงานวิจัย
  2. การกำหนดปัญหา

    • นักศึกษาต้องแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ จากมุมมองที่กว้างไปสู่มุมมองที่เฉพาะเจาะจง พร้อมทั้งระบุความสำคัญของปัญหาในลักษณะที่สมเหตุสมผล โดยอ้างอิงทฤษฎีหรือข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และการอ้างอิงในรูปแบบ APA 7 อย่างถูกต้อง
    • นำเสนอปัญหาที่นักศึกษาพบและต้องการศึกษา รวมถึงเขียนคำถามการวิจัยที่ชัดเจนเพื่อให้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา
  3. การเขียนวัตถุประสงค์ และสมมุติฐานของการวิจัย

    • นักศึกษาจะเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่แสดงเป้าหมายหรือจุดประสงค์หลักของการศึกษาอย่างชัดเจน
    • ถ้าเป็นงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ หรือเชิงหาความสัมพันธ์ ต้องกำหนดสมมุติฐานของการวิจัย แต่ถ้าเป็นงานวิจัยเชิงสำรวจอาจไม่จำเป็นต้องใส่สมมุติฐาน
  4. การกำหนดกรอบแนวคิด

    • นักศึกษาต้องกำหนดกรอบแนวคิดที่ชัดเจนสำหรับการวิจัย โดยใช้ทฤษฎีหรือแนวคิดจากเอกสารที่ได้สืบค้นมา
  5. การกำหนดขอบเขตของการวิจัย และข้อตกลงเบื้องต้น

    • นักศึกษาจะเขียนขอบเขตของการวิจัย ซึ่งประกอบไปด้วยขอบเขตของประชากร ขอบเขตของเนื้อหาหรือตัวแปรที่ต้องการศึกษา
    • ถ้ามีข้อตกลงเบื้องต้น จะต้องระบุให้ชัดเจนถึงทฤษฎีหรือแนวคิดที่นำมาใช้
  6. นิยามศัพท์เฉพาะ

    • นักศึกษาจะระบุนิยามศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย เพื่อทำให้ผู้อ่านเข้าใจคำศัพท์ที่ใช้ในบริบทของการศึกษา
  7. การเขียนประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

    • นักศึกษาจะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย แบ่งเป็น (ก) ประโยชน์ในเชิงวิชาการ และ (ข) ประโยชน์ในการนำไปใช้

การจัดส่งงาน

  • รูปแบบการส่งงาน: นักศึกษาต้องส่งงานเป็นเอกสาร paper ใน Google Classroom และนำเสนองานวิจัยเป็นไฟล์ PowerPoint (PPT) ในห้องเรียนตามที่กำหนด
  • รูปแบบการเขียนอ้างอิง: APA 7th edition

เกณฑ์การให้คะแนน (20 คะแนน)

  • การเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหา (5 คะแนน): ประเมินจากความชัดเจน การใช้ทฤษฎี แนวคิดที่เหมาะสม และการอ้างอิงตามรูปแบบ APA
  • การเขียนคำถามการวิจัย และวัตถุประสงค์ของการวิจัย (4 คะแนน): ประเมินจากความชัดเจนในการตั้งคำถามการวิจัย และการกำหนดวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับปัญหาที่ระบุ
  • สมมติฐาน และกรอบแนวคิดของการวิจัย (3 คะแนน): ประเมินจากการใช้สมมติฐานที่ถูกต้องตามประเภทของงานวิจัย และกรอบแนวคิดที่ชัดเจน
  • การเขียนขอบเขตของการวิจัย ข้อตกลงเบื้องต้น (ถ้ามี) (3 คะแนน): ประเมินจากการเขียนขอบเขตที่ครอบคลุมประชากรและเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
  • นิยามศัพท์เฉพาะ (2 คะแนน): ประเมินจากความชัดเจนและความถูกต้องในการระบุนิยามศัพท์ที่จำเป็นต่อการวิจัย
  • การระบุประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย (3 คะแนน): ประเมินจากการระบุประโยชน์ในเชิงวิชาการและการนำไปใช้

Friday, September 20, 2024

กิจกรรมวิเคราะห์ปัญหา- วิจัย

 

กิจกรรม: “การค้นพบปัญหาเพื่อการวิจัย”

วัตถุประสงค์:

  1. ให้นักศึกษามีความเข้าใจในกระบวนการ การมองเห็นปัญหา ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการวิจัย
  2. ฝึกการทำงานเป็นทีมเพื่อ ระบุปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนการสอนหรือระบบโรงเรียน
  3. เรียนรู้วิธีการ วิเคราะห์ปัญหา เพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบ

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม:

  1. แบ่งกลุ่มนักศึกษา:

    • นักศึกษาแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 3 คน
    • แต่ละกลุ่มจะรับผิดชอบในการค้นหาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนการสอน หรือ กระบวนการศึกษาในโรงเรียนซึ่งพวกเขาเคยพบเจอในประสบการณ์การเรียน หรือเป็นปัญหาที่อาจสังเกตได้จากการฝึกสอน (หากมีประสบการณ์)
  2. กิจกรรมค้นหาปัญหา:

    • ขั้นตอนที่ 1: ในแต่ละกลุ่มให้ ระดมสมอง โดยให้นักศึกษาแต่ละคนช่วยกันนำเสนอปัญหาที่พวกเขาเคยประสบในโรงเรียนหรือห้องเรียน เช่น

      • ปัญหาด้านวิธีการสอน (เช่น ครูอธิบายไม่ชัดเจน หรือวิธีการสอนไม่เหมาะกับผู้เรียน)
      • ปัญหาด้านวินัยในห้องเรียน (เช่น นักเรียนไม่มีแรงจูงใจในการเรียน)
      • ปัญหาด้านเทคโนโลยีในห้องเรียน (เช่น การใช้สื่อการสอนไม่ทันสมัย)
      • ปัญหาด้านการประเมินผล (เช่น การประเมินไม่ยุติธรรมหรือไม่สอดคล้องกับการเรียนรู้)
    • ขั้นตอนที่ 2: ให้กลุ่มช่วยกัน เลือกปัญหาหนึ่งปัญหาที่คิดว่าสำคัญที่สุด และมีโอกาสในการแก้ไขได้

  3. การวิเคราะห์ปัญหา:

    • ขั้นตอนที่ 3: หลังจากที่แต่ละกลุ่มเลือกปัญหาแล้ว ให้ช่วยกัน วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ว่าเกิดจากอะไรบ้าง เช่น

      • ปัญหาการเรียนรู้เกิดจากผู้เรียนหรือครู?
      • ปัญหานี้เป็นเพราะวิธีการสอนหรือสภาพแวดล้อมในห้องเรียน?
      • หากเป็นปัญหาทางเทคโนโลยีหรือการใช้สื่อ ควรมีการสนับสนุนอย่างไร?
    • ให้ตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์ เช่น

      • ปัญหานี้กระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างไร?
      • จะมีวิธีใดในการแก้ไขหรือปรับปรุงปัญหานี้?
  4. เตรียมแผนการนำเสนอ:

    • ขั้นตอนที่ 4: ให้แต่ละกลุ่มเตรียม นำเสนอ ในรูปแบบของแผนภาพหรือสไลด์ โดยประกอบไปด้วย:
      • ปัญหาที่ระบุ
      • สาเหตุของปัญหา
      • ผลกระทบของปัญหานั้นต่อการเรียนการสอน
      • วิธีการหรือแนวทางเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหา
  5. การนำเสนอและอภิปราย:

    • ขั้นตอนที่ 5: ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผลการวิเคราะห์ปัญหาของตนเอง ใช้เวลา 5-7 นาทีต่อกลุ่ม หลังจากนั้นจะมีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระหว่างกลุ่มอื่น ๆ ว่าปัญหาที่นำเสนอเป็นปัญหาที่พบในสถานการณ์จริงหรือไม่ และควรมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร
  6. สะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflection):

    • ขั้นตอนที่ 6: หลังจากกิจกรรมเสร็จสิ้น ให้แต่ละกลุ่มทำการ สะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflection) โดยให้นักศึกษาแต่ละคนเขียนรายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับ:
      • ปัญหาที่พวกเขาเลือกมีความสำคัญอย่างไร?
      • พวกเขาได้เรียนรู้อะไรจากการระดมสมองและวิเคราะห์ปัญหา?
      • กระบวนการระบุปัญหานี้จะมีประโยชน์อย่างไรต่อการวิจัยในอนาคต?

เครื่องมือในการประเมินผล:

  • เกณฑ์การประเมินกลุ่ม: ความสามารถในการเลือกและระบุปัญหาที่มีความชัดเจน วิเคราะห์สาเหตุได้อย่างครอบคลุม มีการนำเสนอที่ชัดเจน และสามารถเชื่อมโยงปัญหากับการเรียนการสอนได้ดี
  • เกณฑ์การประเมินรายบุคคล: การมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และอภิปราย การสะท้อนผลการเรียนรู้ที่แสดงถึงความเข้าใจในกระบวนการวิจัยและการระบุปัญหา

Saturday, September 7, 2024

จิตวิทยาสำหรับครู

 

ชื่อกิจกรรม:

"การประยุกต์ใช้จิตวิทยาในห้องเรียนผ่านวิดีโอคลิป"

เป้าหมายของกิจกรรม:

  1. ให้ผู้เรียนได้ศึกษาแนวคิดทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
  2. ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การคิดวิเคราะห์ และการสร้างสรรค์สื่อการสอน
  3. ให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ความรู้ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการสอน
  4. เสริมสร้างความเข้าใจและความสามารถในการสื่อสารและนำเสนอความรู้ทางจิตวิทยาในรูปแบบที่สร้างสรรค์

รูปแบบกิจกรรม:

  • แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มละ 3 คน
  • แต่ละกลุ่มจะต้องเลือกหัวข้อเกี่ยวกับจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนรู้ การจูงใจในการเรียน ทฤษฎีการเรียนรู้ เป็นต้น
  • ให้แต่ละกลุ่มสร้างวิดีโอคลิปความยาวไม่เกิน 5 นาที เพื่อนำเสนอความรู้ในเรื่องที่เลือก
  • ในคลิปจะต้องกล่าวถึงชื่อแนวคิดหรือทฤษฎี เจ้าของทฤษฎี และการประยุกต์ใช้ในห้องเรียน

ขั้นตอนการทำกิจกรรม:

  1. แบ่งกลุ่ม – จัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มละ 3 คน
  2. เลือกหัวข้อ – แต่ละกลุ่มเลือกแนวคิดหรือทฤษฎีจิตวิทยาที่สนใจและต้องการศึกษา
  3. ศึกษาหาข้อมูล – แต่ละกลุ่มศึกษาทฤษฎีที่เลือกและหาวิธีการประยุกต์ใช้ในห้องเรียน
  4. วางแผนการสร้างวิดีโอ – แต่ละกลุ่มวางแผนและออกแบบวิดีโอเพื่อสื่อสารแนวคิดทางจิตวิทยา
  5. สร้างวิดีโอ – ใช้เครื่องมือที่มีสร้างวิดีโอคลิปไม่เกิน 5 นาที โดยเน้นการนำเสนอความรู้ทางจิตวิทยาอย่างสร้างสรรค์และมีเหตุผลสนับสนุน
  6. นำเสนอ – แสดงวิดีโอคลิปที่สร้างเสร็จในชั้นเรียน

การประเมินวิดีโอ:

เกณฑ์การประเมิน (เต็ม 20 คะแนน)

  1. ความถูกต้องของข้อมูลทางจิตวิทยา (8 คะแนน)

    • วิดีโอต้องแสดงความรู้ที่ถูกต้องและครบถ้วนเกี่ยวกับแนวคิดหรือทฤษฎีที่เลือก
    • ระบุเจ้าของทฤษฎีหรือแนวคิดและอธิบายการนำไปใช้ในห้องเรียนได้อย่างชัดเจน
  2. การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์การเรียนการสอน (6 คะแนน)

    • การนำเสนอวิธีการประยุกต์ใช้ทฤษฎีในห้องเรียนต้องมีความชัดเจน มีตัวอย่างที่เข้าใจง่ายและเหมาะสม
  3. ความคิดสร้างสรรค์และการนำเสนอ (4 คะแนน)

    • วิดีโอต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีการนำเสนอที่น่าสนใจ ใช้เทคนิคการทำวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การทำงานเป็นทีมและการแบ่งหน้าที่ (2 คะแนน)

    • ประเมินความร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่ม การแบ่งงานกันทำ และการมีส่วนร่วมของแต่ละคนในกลุ่ม

เอกสารประกอบการอภิปราย สะท้อนคิด และวิเคราะห์:

  1. วัตถุประสงค์
    เอกสารประกอบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนสะท้อนการทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ทฤษฎีจิตวิทยา และวิธีการประยุกต์ใช้ความรู้นี้ในการสอน

  2. หัวข้อที่ต้องวิเคราะห์และอภิปราย:

    1. แนวคิดหรือทฤษฎีที่เลือก

      • อธิบายแนวคิดหรือทฤษฎีที่กลุ่มของคุณเลือก ทำไมจึงเลือกทฤษฎีนี้? ทฤษฎีนี้สามารถใช้พัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างไร?
    2. การทำงานเป็นทีม

      • สมาชิกในทีมของคุณทำงานร่วมกันอย่างไร? การแบ่งงานและการสื่อสารในทีมเป็นอย่างไร? มีปัญหาอะไรบ้างและแก้ไขอย่างไร?
    3. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในห้องเรียน

      • ทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้ในห้องเรียนได้จริงหรือไม่? มีข้อดีและข้อจำกัดอะไรบ้างในการประยุกต์ใช้? คิดว่ามีอะไรที่จะพัฒนาได้อีก?
    4. สะท้อนคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้

      • ในการทำกิจกรรมนี้ได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับทั้งจิตวิทยาและการทำงานร่วมกันเป็นทีม?

Saturday, August 3, 2024

การวิเคราะห์วีดีโอ เรื่องการลำเอียง

 เข้าใจวิดีโอ:

วิดีโอนี้แนะนำ แสดงให้เห็นว่าความลำเอียง (bias) สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว และส่งผลต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมของเรา

การเชื่อมโยงกับจิตวิทยา:

  • จิตวิทยาทางสังคม: แนวคิดเรื่องอคติทางสังคม (social bias) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่เป็นกลางเกี่ยวกับกลุ่มคนหรือสิ่งของบางอย่าง การทดลองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าอคติเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร และส่งผลกระทบต่อการรับรู้และการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร
  • จิตวิทยาพัฒนาการ: อคติสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็ก และได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และประสบการณ์ส่วนตัว ช่วยให้เราเข้าใจถึงกระบวนการพัฒนาของอคติ และวิธีการป้องกันไม่ให้อคติเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเด็ก
  • จิตวิทยาความรู้ความเข้าใจ:ความคิดและความรู้สึกของเราสามารถเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และเราอาจไม่ตระหนักถึงความเชื่อมโยงเหล่านี้เสมอไป การทำความเข้าใจกระบวนการนี้ช่วยให้เราสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรมของตนเองได้ดียิ่งขึ้น

การนำไปประยุกต์ใช้ในการสอน:

  • สร้างความตระหนัก: ช่วยให้นักเรียนตระหนักว่าทุกคนมีอคติ และอคติเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการปฏิบัติต่อผู้อื่น
  • ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์: สอนให้นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลและท้าทายความเชื่อเดิมๆ
  • พัฒนาทักษะการสื่อสาร: สนับสนุนให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
  • ปลูกฝังค่านิยม: ส่งเสริมค่านิยมที่เกี่ยวกับความเท่าเทียม ความยุติธรรม และการเคารพในความแตกต่าง
  • กิจกรรมในชั้นเรียน:
    • อภิปรายผลลัพธ์ของแบบทดสอบ
    • จัดกิจกรรมที่ช่วยลดอคติ เช่น การทำกิจกรรมกลุ่มที่หลากหลาย
    • ศึกษาตัวอย่างบุคคลที่ต่อสู้กับอคติ

      วิธีการรับมือและแก้ไขพฤติกรรมของนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม

      เข้าใจสถานการณ์:

      • รับฟังอย่างเปิดใจ: สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้นักเรียนสามารถเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่
      • สังเกตพฤติกรรม: สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเรียน เช่น การถอนตัว การก้าวร้าว หรือการเปลี่ยนแปลงอารมณ์บ่อยๆ
      • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากจำเป็น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น เพื่อขอคำแนะนำในการจัดการกับสถานการณ์

      สร้างความสัมพันธ์:

      • แสดงความเข้าใจ: ทำให้นักเรียนรู้สึกว่ามีคนเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ
      • ให้กำลังใจ: ชื่นชมในความพยายามและความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของนักเรียน
      • สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น: สร้างความรู้สึกเป็นกันเองในห้องเรียน

      ปรับเปลี่ยนวิธีการสอน:

      • ปรับเนื้อหาและวิธีการสอน: ทำให้เนื้อหาเข้าใจง่ายและน่าสนใจ
      • ให้โอกาสในการแสดงออก: เช่น การทำกิจกรรมกลุ่ม การนำเสนอผลงาน
      • ให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคล: สนับสนุนนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

      ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง:

      • สื่อสารอย่างเปิดเผย: แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของนักเรียน
      • ร่วมกันวางแผนการช่วยเหลือ: หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

      ทักษะที่จำเป็นสำหรับครู:

      • ความอดทน: เด็กที่ประสบปัญหาจากการเลี้ยงดูอาจต้องการเวลาในการปรับตัว
      • ความเข้าใจ: เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม และไม่ตำหนินักเรียน
      • ความยืดหยุ่น: ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน
      • ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น: ร่วมมือกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือนักเรียน

      วิธีการรับมือและแก้ไขพฤติกรรมของนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม

      เข้าใจสถานการณ์:

      • รับฟังอย่างเปิดใจ: สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้นักเรียนสามารถเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่
      • สังเกตพฤติกรรม: สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเรียน เช่น การถอนตัว การก้าวร้าว หรือการเปลี่ยนแปลงอารมณ์บ่อยๆ
      • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากจำเป็น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น เพื่อขอคำแนะนำในการจัดการกับสถานการณ์

      สร้างความสัมพันธ์:

      • แสดงความเข้าใจ: ทำให้นักเรียนรู้สึกว่ามีคนเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ
      • ให้กำลังใจ: ชื่นชมในความพยายามและความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของนักเรียน
      • สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น: สร้างความรู้สึกเป็นกันเองในห้องเรียน

      ปรับเปลี่ยนวิธีการสอน:

      • ปรับเนื้อหาและวิธีการสอน: ทำให้เนื้อหาเข้าใจง่ายและน่าสนใจ
      • ให้โอกาสในการแสดงออก: เช่น การทำกิจกรรมกลุ่ม การนำเสนอผลงาน
      • ให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคล: สนับสนุนนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

      ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง:

      • สื่อสารอย่างเปิดเผย: แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของนักเรียน
      • ร่วมกันวางแผนการช่วยเหลือ: หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

      ทักษะที่จำเป็นสำหรับครู:

      • ความอดทน: เด็กที่ประสบปัญหาจากการเลี้ยงดูอาจต้องการเวลาในการปรับตัว
      • ความเข้าใจ: เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม และไม่ตำหนินักเรียน
      • ความยืดหยุ่น: ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน
      • ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น: ร่วมมือกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือนักเรียน