Thursday, January 16, 2025

กิจกรรมการฟัง

 หัวข้อในการฟังต่างๆ

หัวข้อการฟังชนิดต่างๆ ที่สามารถเข้าไปศึกษา และวิเคราะห์หาคำตอบได้ค่ะ

https://youtu.be/WPmFOHP7Vnc?si=fDmtD6n1NzJf6GJ1

คำสั่งให้นักศึกษา. 

  1. ฟัง Podcast ที่กำหนด และตั้งใจทำความเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อการฟัง
  2. ทีมทำงานร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก Podcast
  3. สรุปเป็นรายงานสั้น ๆโดยระบุสิ่งเหล่านี้:
    • ประเด็นสำคัญ ที่ Podcast กล่าวถึง
    • ตัวอย่าง สถานการณ์ ที่เหมาะสมกับการนำความรู้เรื่องการฟังไปใช้
    • ความคิดเห็นของคุณและคู่เกี่ยวกับเนื้อหาที่ได้รับ
  4. ตอบคำถาม 10 ข้อ ดังนี้

คำถามกลางสำหรับตรวจสอบความเข้าใจ 

  1. Podcast กล่าวถึงการฟังว่ามีความสำคัญอย่างไร?
  2. คุณสามารถอธิบาย ประเด็นสำคัญ ที่ Podcast สื่อถึงได้อย่างไร?
  3. ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ Podcast นำเสนอเกี่ยวกับการฟังได้หรือไม่?
  4. คุณคิดว่าทักษะการฟังสามารถช่วยพัฒนาตัวคุณได้อย่างไร?
  5. คุณและทีมของคุณได้เรียนรู้อะไรใหม่จาก Podcast นี้?
  6. มีเทคนิคหรือแนวทางใดที่ Podcast แนะนำสำหรับการพัฒนาทักษะการฟัง?
  7. คุณพบว่ามีส่วนใดใน Podcast ที่คุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย? เพราะเหตุใด?
  8. หลังจากฟัง Podcast คุณคิดว่าการฟังมีผลต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันอย่างไร?
  9. คุณและทีมของคุณคิดว่าอะไรคือ อุปสรรคของการฟัง ที่ผู้พูดกล่าวถึง และจะปรับปรุงได้อย่างไร?
  10. สรุปสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญของการฟังจาก Podcast ที่ฟัง มีอะไร 

เมือ่นักศึกษาทำเสร็จ ให้ทำคำตอบ ลงใน ppt เพือนำเสนอร่วมกันในห้องเรียน กลุ่มละไม่เกิน 3 นาที

เสริมความรู้เกี่ยวกับการฟังชนิดต่าง ๆ


แม้ว่าการเรียนรู้ที่จะสื่อสารในสิ่งที่คุณต้องการพูดจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเรียนรู้วิธีฟังในสถานการณ์ต่างๆ ก็ดูจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะการฟังจะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น และยังช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย ดังนั้น การฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective listening) เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งในที่ทำงาน โรงเรียน บ้าน และสังคม


บทความจาก Customers First Academy ได้สรุป 5 ประเภทของการฟังในที่ทำงาน พร้อมทั้งสถานการณ์และคำแนะนำที่สามารถหยิบไปใช้ได้ ดังนี้


#1. Active listening


การฟังแบบ Active listening หรือการฟังอย่างตั้งใจ คือ การฟังที่ผู้ฟังตั้งใจจดจ่ออยู่กับคำพูดของผู้พูด เพื่อทำความเข้าใจความหมายและบริบทของพวกเขา ซึ่งการฟังประเภทนี้จะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับภาษากาย สีหน้า น้ำเสียงของผู้พูด และถามคำถามที่มีความหมาย ซึ่งการฟังแบบ Active listening มีประโยชน์ในด้านการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว และในงานที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นอย่างมาก


เทคนิคการฟังแบบ Active listening:

  • สบตาและใส่ใจกับการแสดงสีหน้าของผู้พูด
  • ตั้งใจฟังคำที่ผู้พูดใช้และพยายามอย่าขัดจังหวะ
  • ทวนคำ ทวนความจากสิ่งที่ผู้พูดพูดเพื่อแสดงว่าคุณเข้าใจ
  • ถามคำถามเพื่อช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น


#2. Critical listening


การฟังแบบ Critical listening หรือการฟังอย่างมีวิจารณญาณ คือ การฟังเพื่อวิเคราะห์เหตุผลและแยกข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น การฟังประเภทนี้จะเป็นประโยชน์มากเมื่อเราต้องการข้อเท็จจริงเพื่อมาประกอบการตัดสินใจบางอย่าง


เทคนิคการฟังแบบ Critical listening:

  • วิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินว่าเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ อย่างไร
  • ถามคำถามเพื่อช่วยเคลียร์ความคิดและความรู้สึกของผู้พูด
  • โฟกัสที่ใจความสำคัญ (main points) มากกว่าข้อความที่คุณจะตอบโต้
  • ใช้การฟังแบบนี้ในสถานการณ์ที่เราต้องการ problem-solving


#3. Informational listening


การฟังแบบ Informational listening หรือการฟังเพื่อหาข้อมูล คือ การฟังที่โฟกัสไปที่เนื้อหาใจความ (content) เพื่อรวบรวมข้อมูลในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งให้มากที่สุด


เทคนิคการฟังแบบ Informational listening:

  • เตรียมคำถามที่เกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ
  • ถอดประเด็นสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจถูกต้อง
  • ควรมีการจดโน้ตหรือการบันทึกเสียง


#4. Empathetic listening


การฟังแบบ Empathetic listening หรือการฟังด้วยความเข้าใจ คือ การฟังที่เปิดใจรับฟัง ฟังทุกอย่าง ฟังสิ่งที่เป็นคำพูด และสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมา โดยไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก หากมีการถามคำถามก็จะเน้นไปที่การใช้คำถามที่เกี่ยวกับความคิดและอารมณ์ของอีกฝ่าย เพื่อทำความเข้าใจว่าตอนนี้พวกเขาคิดอย่างไร หรือรู้สึกอย่างไร


เทคนิคการฟังแบบ Empathetic listening:

  • ตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และมีสมาธิในการทำความเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
  • ทบทวนสิ่งที่คุณได้ยินด้วยคำพูดของคุณเองเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจถูกต้อง
  • หลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำหรือบอกอีกฝ่ายว่าพวกเขาควรทำอย่างไร
  • แสดงให้พวกเขารู้ว่าคุณเข้าใจความรู้สึก

เมื่อไรควรใช้การฟังแบบ Empathetic Listening (การฟังแบบเข้าอกเข้าใจ):

Empathetic Listening เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยงทางอารมณ์ หรือช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่มุ่งเน้นที่การวิเคราะห์เนื้อหา แต่เน้นการเข้าใจความรู้สึกและความต้องการ เช่น:

  1. เมื่อผู้พูดต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์:
    • ผู้พูดอาจรู้สึกเศร้า เสียใจ หรือมีความทุกข์ และต้องการคนรับฟัง
    • ตัวอย่าง: เพื่อนที่กำลังมีปัญหาส่วนตัว หรือเด็กที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยว
  2. เมื่อสร้างความสัมพันธ์:
    • เมื่อต้องการสร้างความไว้วางใจและเชื่อมโยงกับผู้พูด
    • ตัวอย่าง: การพูดคุยกับครอบครัว เพื่อนสนิท หรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องการกำลังใจ
  3. เมื่อผู้พูดต้องการระบายความรู้สึก:
    • ผู้พูดต้องการแค่ใครสักคนที่รับฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่วิพากษ์วิจารณ์
    • ตัวอย่าง: การฟังนักเรียนบ่นเรื่องการบ้าน หรือฟังเพื่อนเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน
  4. เมื่อคุณต้องการเข้าใจมุมมองของผู้อื่น:
    • การฟังแบบเปิดใจเพื่อเข้าใจว่าผู้พูดรู้สึกหรือคิดอย่างไร
    • ตัวอย่าง: การฟังความคิดเห็นของลูกทีมในที่ประชุม หรือฟังนักเรียนบอกถึงความท้าทายที่พวกเขาเผชิญ


#5. Deep Listening (การฟังอย่างลึกซึ้ง)

  • เป้าหมาย: เพื่อเข้าใจเนื้อหาและบริบทอย่างลึกซึ้ง รวมถึงสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ โดยผู้ฟังจะใส่ใจในรายละเอียดทั้งหมด
  • เน้นที่:
    • การตีความสิ่งที่ผู้พูดสื่อ ทั้งคำพูด น้ำเสียง และภาษากาย
    • การตั้งใจฟังเพื่อทำความเข้าใจความหมายแฝงหรือปัญหาที่ซ่อนอยู่
  • ตัวอย่าง: ฟังการอภิปรายหรือการเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อน แล้ววิเคราะห์ว่าผู้พูดต้องการสื่ออะไรจริง ๆ หรือมีความหมายแฝงอะไรที่สำคัญ

เมื่อไรควรใช้การฟังแบบ Deep Listening (การฟังอย่างลึกซึ้ง):

Deep Listening เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการเข้าใจเนื้อหา บริบท และความหมายอย่างละเอียด โดยเฉพาะในบริบทที่มีความซับซ้อนหรือสำคัญต่อการตัดสินใจ เช่น:

  1. การประชุมหรือการทำงาน:
    • เมื่อต้องการเข้าใจข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับโครงการหรือปัญหา
    • การวิเคราะห์เนื้อหา การตีความความหมาย และการตอบสนองที่ตรงจุด
    • ตัวอย่าง: การฟังรายงานเกี่ยวกับปัญหาภายในองค์กร หรือการประชุมวางแผนกลยุทธ์
  2. การแก้ปัญหา:
    • เมื่อต้องการฟังและวิเคราะห์เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาและทางออก
    • ตัวอย่าง: ฟังลูกค้าบอกปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หรือฟังนักเรียนเล่าปัญหาด้านการเรียน
  3. การเจรจาหรือการไกล่เกลี่ย:
    • เมื่อต้องฟังข้อเสนอ ความต้องการ หรือความกังวลของฝ่ายตรงข้าม เพื่อสร้างข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
    • ตัวอย่าง: การเจรจาธุรกิจ หรือการพูดคุยเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้ง
  4. การเรียนรู้:
    • เมื่อต้องการทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาการที่ซับซ้อน หรือฟังเลคเชอร์จากผู้เชี่ยวชาญ
    • ตัวอย่าง: การฟังบรรยายในมหาวิทยาลัยหรือการฝึกอบรม


บทสรุป – ทั้ง 5 ประเภทการฟังนี้มีประโยชน์มากในการทำงานและในองค์กร เพราะเมื่อเราเข้าใจเรื่องการรับฟัง ก็จะสามารถนำไปใช้แก้ไขข้อขัดแย้ง สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้น บริหารจัดการทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.