Thursday, January 16, 2025

กิจกรรมการฟัง

 หัวข้อในการฟังต่างๆ

หัวข้อการฟังชนิดต่างๆ ที่สามารถเข้าไปศึกษา และวิเคราะห์หาคำตอบได้ค่ะ

https://youtu.be/WPmFOHP7Vnc?si=fDmtD6n1NzJf6GJ1

คำสั่งให้นักศึกษา. 

  1. ฟัง Podcast ที่กำหนด และตั้งใจทำความเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อการฟัง
  2. ทีมทำงานร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก Podcast
  3. สรุปเป็นรายงานสั้น ๆโดยระบุสิ่งเหล่านี้:
    • ประเด็นสำคัญ ที่ Podcast กล่าวถึง
    • ตัวอย่าง สถานการณ์ ที่เหมาะสมกับการนำความรู้เรื่องการฟังไปใช้
    • ความคิดเห็นของคุณและคู่เกี่ยวกับเนื้อหาที่ได้รับ
  4. ตอบคำถาม 10 ข้อ ดังนี้

คำถามกลางสำหรับตรวจสอบความเข้าใจ 

  1. Podcast กล่าวถึงการฟังว่ามีความสำคัญอย่างไร?
  2. คุณสามารถอธิบาย ประเด็นสำคัญ ที่ Podcast สื่อถึงได้อย่างไร?
  3. ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ Podcast นำเสนอเกี่ยวกับการฟังได้หรือไม่?
  4. คุณคิดว่าทักษะการฟังสามารถช่วยพัฒนาตัวคุณได้อย่างไร?
  5. คุณและทีมของคุณได้เรียนรู้อะไรใหม่จาก Podcast นี้?
  6. มีเทคนิคหรือแนวทางใดที่ Podcast แนะนำสำหรับการพัฒนาทักษะการฟัง?
  7. คุณพบว่ามีส่วนใดใน Podcast ที่คุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย? เพราะเหตุใด?
  8. หลังจากฟัง Podcast คุณคิดว่าการฟังมีผลต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันอย่างไร?
  9. คุณและทีมของคุณคิดว่าอะไรคือ อุปสรรคของการฟัง ที่ผู้พูดกล่าวถึง และจะปรับปรุงได้อย่างไร?
  10. สรุปสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญของการฟังจาก Podcast ที่ฟัง มีอะไร 

เมือ่นักศึกษาทำเสร็จ ให้ทำคำตอบ ลงใน ppt เพือนำเสนอร่วมกันในห้องเรียน กลุ่มละไม่เกิน 3 นาที

เสริมความรู้เกี่ยวกับการฟังชนิดต่าง ๆ


แม้ว่าการเรียนรู้ที่จะสื่อสารในสิ่งที่คุณต้องการพูดจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเรียนรู้วิธีฟังในสถานการณ์ต่างๆ ก็ดูจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะการฟังจะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น และยังช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย ดังนั้น การฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective listening) เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งในที่ทำงาน โรงเรียน บ้าน และสังคม


บทความจาก Customers First Academy ได้สรุป 5 ประเภทของการฟังในที่ทำงาน พร้อมทั้งสถานการณ์และคำแนะนำที่สามารถหยิบไปใช้ได้ ดังนี้


#1. Active listening


การฟังแบบ Active listening หรือการฟังอย่างตั้งใจ คือ การฟังที่ผู้ฟังตั้งใจจดจ่ออยู่กับคำพูดของผู้พูด เพื่อทำความเข้าใจความหมายและบริบทของพวกเขา ซึ่งการฟังประเภทนี้จะให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับภาษากาย สีหน้า น้ำเสียงของผู้พูด และถามคำถามที่มีความหมาย ซึ่งการฟังแบบ Active listening มีประโยชน์ในด้านการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว และในงานที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นอย่างมาก


เทคนิคการฟังแบบ Active listening:

  • สบตาและใส่ใจกับการแสดงสีหน้าของผู้พูด
  • ตั้งใจฟังคำที่ผู้พูดใช้และพยายามอย่าขัดจังหวะ
  • ทวนคำ ทวนความจากสิ่งที่ผู้พูดพูดเพื่อแสดงว่าคุณเข้าใจ
  • ถามคำถามเพื่อช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น


#2. Critical listening


การฟังแบบ Critical listening หรือการฟังอย่างมีวิจารณญาณ คือ การฟังเพื่อวิเคราะห์เหตุผลและแยกข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น การฟังประเภทนี้จะเป็นประโยชน์มากเมื่อเราต้องการข้อเท็จจริงเพื่อมาประกอบการตัดสินใจบางอย่าง


เทคนิคการฟังแบบ Critical listening:

  • วิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินว่าเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ อย่างไร
  • ถามคำถามเพื่อช่วยเคลียร์ความคิดและความรู้สึกของผู้พูด
  • โฟกัสที่ใจความสำคัญ (main points) มากกว่าข้อความที่คุณจะตอบโต้
  • ใช้การฟังแบบนี้ในสถานการณ์ที่เราต้องการ problem-solving


#3. Informational listening


การฟังแบบ Informational listening หรือการฟังเพื่อหาข้อมูล คือ การฟังที่โฟกัสไปที่เนื้อหาใจความ (content) เพื่อรวบรวมข้อมูลในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งให้มากที่สุด


เทคนิคการฟังแบบ Informational listening:

  • เตรียมคำถามที่เกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ
  • ถอดประเด็นสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจถูกต้อง
  • ควรมีการจดโน้ตหรือการบันทึกเสียง


#4. Empathetic listening


การฟังแบบ Empathetic listening หรือการฟังด้วยความเข้าใจ คือ การฟังที่เปิดใจรับฟัง ฟังทุกอย่าง ฟังสิ่งที่เป็นคำพูด และสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมา โดยไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก หากมีการถามคำถามก็จะเน้นไปที่การใช้คำถามที่เกี่ยวกับความคิดและอารมณ์ของอีกฝ่าย เพื่อทำความเข้าใจว่าตอนนี้พวกเขาคิดอย่างไร หรือรู้สึกอย่างไร


เทคนิคการฟังแบบ Empathetic listening:

  • ตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และมีสมาธิในการทำความเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
  • ทบทวนสิ่งที่คุณได้ยินด้วยคำพูดของคุณเองเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจถูกต้อง
  • หลีกเลี่ยงการให้คำแนะนำหรือบอกอีกฝ่ายว่าพวกเขาควรทำอย่างไร
  • แสดงให้พวกเขารู้ว่าคุณเข้าใจความรู้สึก

เมื่อไรควรใช้การฟังแบบ Empathetic Listening (การฟังแบบเข้าอกเข้าใจ):

Empathetic Listening เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยงทางอารมณ์ หรือช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่มุ่งเน้นที่การวิเคราะห์เนื้อหา แต่เน้นการเข้าใจความรู้สึกและความต้องการ เช่น:

  1. เมื่อผู้พูดต้องการการสนับสนุนทางอารมณ์:
    • ผู้พูดอาจรู้สึกเศร้า เสียใจ หรือมีความทุกข์ และต้องการคนรับฟัง
    • ตัวอย่าง: เพื่อนที่กำลังมีปัญหาส่วนตัว หรือเด็กที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยว
  2. เมื่อสร้างความสัมพันธ์:
    • เมื่อต้องการสร้างความไว้วางใจและเชื่อมโยงกับผู้พูด
    • ตัวอย่าง: การพูดคุยกับครอบครัว เพื่อนสนิท หรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องการกำลังใจ
  3. เมื่อผู้พูดต้องการระบายความรู้สึก:
    • ผู้พูดต้องการแค่ใครสักคนที่รับฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่วิพากษ์วิจารณ์
    • ตัวอย่าง: การฟังนักเรียนบ่นเรื่องการบ้าน หรือฟังเพื่อนเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน
  4. เมื่อคุณต้องการเข้าใจมุมมองของผู้อื่น:
    • การฟังแบบเปิดใจเพื่อเข้าใจว่าผู้พูดรู้สึกหรือคิดอย่างไร
    • ตัวอย่าง: การฟังความคิดเห็นของลูกทีมในที่ประชุม หรือฟังนักเรียนบอกถึงความท้าทายที่พวกเขาเผชิญ


#5. Deep Listening (การฟังอย่างลึกซึ้ง)

  • เป้าหมาย: เพื่อเข้าใจเนื้อหาและบริบทอย่างลึกซึ้ง รวมถึงสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ โดยผู้ฟังจะใส่ใจในรายละเอียดทั้งหมด
  • เน้นที่:
    • การตีความสิ่งที่ผู้พูดสื่อ ทั้งคำพูด น้ำเสียง และภาษากาย
    • การตั้งใจฟังเพื่อทำความเข้าใจความหมายแฝงหรือปัญหาที่ซ่อนอยู่
  • ตัวอย่าง: ฟังการอภิปรายหรือการเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อน แล้ววิเคราะห์ว่าผู้พูดต้องการสื่ออะไรจริง ๆ หรือมีความหมายแฝงอะไรที่สำคัญ

เมื่อไรควรใช้การฟังแบบ Deep Listening (การฟังอย่างลึกซึ้ง):

Deep Listening เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการเข้าใจเนื้อหา บริบท และความหมายอย่างละเอียด โดยเฉพาะในบริบทที่มีความซับซ้อนหรือสำคัญต่อการตัดสินใจ เช่น:

  1. การประชุมหรือการทำงาน:
    • เมื่อต้องการเข้าใจข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับโครงการหรือปัญหา
    • การวิเคราะห์เนื้อหา การตีความความหมาย และการตอบสนองที่ตรงจุด
    • ตัวอย่าง: การฟังรายงานเกี่ยวกับปัญหาภายในองค์กร หรือการประชุมวางแผนกลยุทธ์
  2. การแก้ปัญหา:
    • เมื่อต้องการฟังและวิเคราะห์เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาและทางออก
    • ตัวอย่าง: ฟังลูกค้าบอกปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หรือฟังนักเรียนเล่าปัญหาด้านการเรียน
  3. การเจรจาหรือการไกล่เกลี่ย:
    • เมื่อต้องฟังข้อเสนอ ความต้องการ หรือความกังวลของฝ่ายตรงข้าม เพื่อสร้างข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
    • ตัวอย่าง: การเจรจาธุรกิจ หรือการพูดคุยเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้ง
  4. การเรียนรู้:
    • เมื่อต้องการทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาการที่ซับซ้อน หรือฟังเลคเชอร์จากผู้เชี่ยวชาญ
    • ตัวอย่าง: การฟังบรรยายในมหาวิทยาลัยหรือการฝึกอบรม


บทสรุป – ทั้ง 5 ประเภทการฟังนี้มีประโยชน์มากในการทำงานและในองค์กร เพราะเมื่อเราเข้าใจเรื่องการรับฟัง ก็จะสามารถนำไปใช้แก้ไขข้อขัดแย้ง สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้น บริหารจัดการทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

Saturday, January 11, 2025

ภาษาเพื่อการสื่อสาร(สอนออนไลน์)

 แผนกิจกรรมสำหรับบทเรียนออนไลน์: ทักษะการสื่อสารสำหรับครู

วัตถุประสงค์: เพื่อให้นักศึกษาอธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ที่จำเป็นสำหรับครูในการสื่อสารกับเด็กโดยใช้การนำเสนออย่างกระชับ

ภาพรวมกิจกรรม: นักศึกษาแต่ละคนจะเลือกหัวข้อเฉพาะเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารสำหรับครู จากนั้นเตรียมและนำเสนอสดในเวลา 1 นาทีระหว่างคลาสออนไลน์ โดยนักศึกษาจะต้องแคปภาพหน้าจอและบันทึกข้อความที่พูดไว้เพื่อส่งให้ตรวจสอบ


ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม

1. การเตรียมตัว:

  • การเลือกหัวข้อ: ให้นักศึกษาเลือกหัวข้อจากตัวอย่าง เช่น:

    • การเข้าใจความแตกต่างของเด็กแต่ละคน

    • การฟังอย่างตั้งใจและการเคารพความคิดเห็นของเด็ก

    • การปรับบทบาทจากผู้สอนมาเป็นที่ปรึกษา

    • เทคนิคการสร้างบรรยากาศการสื่อสารในห้องเรียน

  • แนวทางการเตรียม: เน้นว่านักศึกษาควรนำเสนอเนื้อหาให้กระชับ มีความเกี่ยวข้อง และอ้างอิงจากความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสำหรับครู

2. คำแนะนำสำหรับนักศึกษา:

  • รูปแบบการนำเสนอ:

    • แต่ละคนพูดสดผ่านไมโครโฟนของคอมพิวเตอร์ในเวลาไม่เกิน 1 นาที

    • อธิบายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารของครู

    • สนับสนุนให้นักศึกษาใช้ภาษาของตนเองและยกตัวอย่างถ้าเป็นไปได้

  • ข้อกำหนดทางเทคนิค:

    • นักศึกษาต้องนำเสนอผ่านไมโครโฟนของคอมพิวเตอร์

    • หลังนำเสนอเสร็จ ให้นักศึกษาแคปภาพหน้าจอขณะนำเสนอ

    • เขียนข้อความที่พูดในระหว่างการนำเสนอ

3. ระหว่างคลาส:

  • การเริ่มต้น: เริ่มต้นด้วยการอธิบายความสำคัญของการสื่อสารสำหรับครู โดยใช้ข้อความตัวอย่างดังนี้:

    "การสื่อสารนับว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เราอาจมองว่าการสื่อสารนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ เพราะเป็นสิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสื่อสารเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการสื่อสารระหว่างครูและเด็ก ที่มักจะมีความแตกต่างในด้านวัยและประสบการณ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ดังนั้นครูจำเป็นต้องปรับตัวและเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจและบรรยากาศที่ดีในห้องเรียน"

    • เน้น 3 เคล็ดลับจากข้อความตัวอย่าง:

      1. เข้าใจความแตกต่างของเด็กแต่ละคน

      2. เปิดใจรับฟังและเคารพความคิดของเด็ก

      3. ปรับบทบาทจากผู้สอนมาเป็นที่ปรึกษา

  • การนำเสนอของนักศึกษา:

    • เรียกชื่อนักศึกษาแต่ละคนให้นำเสนอทีละคน

    • ฟังการนำเสนออย่างตั้งใจและให้คำแนะนำสั้น ๆ หากมีเวลา

4. หลังจบคลาส:

  • ข้อกำหนดการส่งงาน:

    • นักศึกษาต้องอัปโหลด:

      1. ภาพหน้าจอขณะนำเสนอ

      2. ข้อความที่พูดในระหว่างการนำเสนอ

  • เกณฑ์การประเมิน:

    • ความชัดเจนและความเกี่ยวข้องของหัวข้อ (3 คะแนน)

    • การนำเสนอภายในเวลาที่กำหนด (2 คะแนน)

    • ความคิดสร้างสรรค์และความลึกซึ้งของเนื้อหา (3คะแนน)

    • การส่งงานครบถ้วนตามข้อกำหนด ( 2คะแนน)


หมายเหตุเพิ่มเติมสำหรับนักศึกษา:

  • ฝึกซ้อมการนำเสนอให้ตรงเวลาไม่เกิน 1 นาที

  • ใช้ภาษาเรียบง่ายและชัดเจนเพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ

  • มีความมั่นใจและแสดงออกอย่างชัดเจนในระหว่างการนำเสนอ

กิจกรรมสรุป: ปิดท้ายด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อและประเด็นที่นักศึกษาได้แบ่งปัน พร้อมเน้นย้ำถึงแนวทางการสื่อสารที่ดีจากการนำเสนอของนักศึกษา

Thursday, January 9, 2025

การสร้าง podcast อย่างง่าย

      หัวข้อที่จะให้นักศึกษา จับกลุ่ม (กลุ่ม การจัดรายการเพลง)กันทำ podcast จากหัวข้อที่กำหนด โดยให้จับฉลากเลือกมา 1 หัวข้อ และสามารถ พูดต่อยอดหรือขยายความ ในขอบเขต ที่หัวข้อกำหนดได้ ตามความสนใจของนักศึกษา โดยหัวข้อจะเน้นในเรื่องของกระบวนการฟัง เป็นหลัก หลังจากได้ศึกษาเรื่อง การพูด การเขียน ไปแล้ว

30 หัวข้อ ที่สามารถใช้สำหรับ Podcast ความรู้เกี่ยวกับการฟัง (ในเวลาประมาณ 5 นาที):

  1. ความสำคัญของการฟังในชีวิตประจำวัน
  2. การฟังเชิงลึกคืออะไร และสำคัญอย่างไร
  3. ทักษะการฟังที่ดี: วิธีฝึกฝนให้ได้ผล
  4. อุปสรรคของการฟังที่ดี และวิธีแก้ไข
  5. การฟังแบบ Empathy: เคล็ดลับการเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริง
  6. การฟังกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน
  7. การฟังในบริบทของครอบครัว: สร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
  8. ความแตกต่างระหว่างการฟังเพื่อเข้าใจและการฟังเพื่อตอบโต้
  9. Active Listening: วิธีสร้างบทสนทนาที่มีคุณค่า
  10. การฟังในยุคดิจิทัล: วิธีหลีกเลี่ยงการฟังแบบผิวเผิน
  11. การฟังเพื่อการเรียนรู้: วิธีฟังเพื่อพัฒนาตนเอง
  12. การฟังในสถานการณ์ขัดแย้ง: วิธีลดความขัดแย้งด้วยการฟัง
  13. การฟังในบริบทวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
  14. การฟังในงานบริการลูกค้า: วิธีรับฟังและตอบสนองลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
  15. การฟังเพื่อการพัฒนาทีม: เทคนิคสำหรับผู้นำ
  16. การฟังเพื่อแก้ปัญหา: การตั้งคำถามเพื่อเจาะลึกปัญหา
  17. การฟังในการให้คำปรึกษา: ทักษะที่จำเป็นสำหรับนักให้คำปรึกษา
  18. Listening Blocks: สิ่งที่ขัดขวางการฟังที่มีประสิทธิภาพ
  19. การฟังและการอ่านใจ (Mindful Listening)
  20. ความสำคัญของการฟังในความเป็นผู้นำ
  21. Listening in Negotiations: การฟังในกระบวนการเจรจา
  22. พัฒนาการฟังในภาษาอังกฤษ (หรือภาษาอื่น ๆ)
  23. การฟังและการสื่อสารในทีมกีฬา
  24. การฟังในการสร้างเครือข่าย (Networking)
  25. Listening to Non-verbal Cues: การฟังที่ไม่ได้ใช้คำพูด
  26. การฟังข่าวสาร: วิธีคัดกรองและทำความเข้าใจข้อมูล
  27. ทักษะการฟังสำหรับการเรียนการสอนในชั้นเรียน
  28. Podcast ดี ๆ ที่ช่วยพัฒนาทักษะการฟัง: รีวิวและแนะนำ
  29. Listening to Feedback: วิธีรับฟังคำติชมอย่างมีประสิทธิภาพ
  30. การฟังเพื่อสุขภาพจิต: วิธีใช้การฟังช่วยลดความเครียด


ตัวอย่าง แอป/แพลตฟอร์มฟรีสำหรับการทำ Podcast

  1. Anchor by Spotify

    • ข้อดี: ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น สามารถบันทึก ตัดต่อ และเผยแพร่ Podcast ได้ในแอปเดียว
    • วิธีใช้งาน: นักศึกษาสามารถดาวน์โหลดแอปบนมือถือ หรือใช้ผ่านเว็บไซต์ (anchor.fm)
    • การเผยแพร่: Anchor จะช่วยกระจาย Podcast ไปยัง Spotify และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ฟรี
  2. Spotify for Podcasters

    • ข้อดี: ใช้บันทึกและเผยแพร่ Podcast ได้ฟรี คล้าย Anchor
    • การเผยแพร่: เชื่อมต่อกับ Spotify ได้ง่าย

ขั้นตอนแนะนำให้นักศึกษาเริ่มทำ Podcast

  1. ศึกษาเกี่ยวกับ Podcast

    • แนะนำให้ฟัง Podcast ตัวอย่างจาก Spotify, Apple Podcasts หรือ Google Podcasts
    • ค้นหาคลิปใน YouTube ที่สอนการทำ Podcast เช่น “How to start a podcast for free”
    • เว็บไซต์ที่มีบทความแนะนำ เช่น Buzzsprout Blog
  2. เตรียมเนื้อหา

    • เขียน Script ล่วงหน้าเพื่อช่วยให้การพูดราบรื่น
    • แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วน เช่น บทนำ เนื้อหาหลัก สรุป
  3. อัดเสียง

    • ใช้สมาร์ทโฟนที่มีไมโครโฟนคุณภาพพอสมควร
    • เลือกสถานที่เงียบเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงรบกวน
  4. ตัดต่อ Podcast

    • ใช้แอปฟรี เช่น Anchor ,Spotify
    • เพิ่มเพลงพื้นหลังหรือเสียงเอฟเฟกต์ที่ไม่มีลิขสิทธิ์ (หาได้จากเว็บไซต์ เช่น Free Music Archive หรือ SoundCloud Free Sounds)
  5. เผยแพร่ Podcast

    • เริ่มต้นเผยแพร่ใน Anchor เพื่อกระจายไปยัง Spotify และแพลตฟอร์มอื่น ๆ
    • แชร์ลิงก์ Podcast ในกลุ่มเพื่อนหรือโซเชียลมีเดียเพื่อเพิ่มผู้ฟัง

แหล่งสนับสนุน ข้อมูล Podcast ภาษาไทย

  1. คำนี้ดี (The Standard)

    • เนื้อหา: สอนภาษาอังกฤษผ่านคำศัพท์ วลี และวัฒนธรรม
    • เหมาะสำหรับ: การฝึกฟังภาษาไทยผสมภาษาอังกฤษ
    • ฟังได้ที่: Spotify, Apple Podcasts
  2. พอดแคสต์ของ Mission to the Moon

    • เนื้อหา: ความรู้ในเรื่องการพัฒนาตนเอง การทำงาน และชีวิต
    • เหมาะสำหรับ: การฝึกฟังเนื้อหาที่เป็นภาษาไทยแต่มีโครงสร้างเหมือน Podcast สากล
    • ฟังได้ที่: Spotify, Apple Podcasts
  3. The Cloud Podcast

    • เนื้อหา: เรื่องเล่าจากผู้คนและวัฒนธรรมหลากหลาย
    • เหมาะสำหรับ: ฝึกการฟังเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมและการเล่าเรื่อง
    • ฟังได้ที่: Spotify
  4. 8 บรรทัดครึ่ง (8-12 Minutes)

    • เนื้อหา: การสรุปความรู้และแนวคิดในเวลาเพียง 8 นาที
    • เหมาะสำหรับ: นักศึกษาที่ต้องการฝึกฟังเนื้อหาสั้น ๆ และกระชับ
    • ฟังได้ที่: Spotify

คำสั่งการทำ Podcast

  1. แบ่งกลุ่ม

    • นักศึกษาแบ่งกลุ่ม 3-4  คน( ทีมเดียวกันกับการจัดรายการ) และเลือกหัวข้อเกี่ยวกับ การฟัง จากหัวข้อที่กำหนด หรือคิดต่อยอด/ปรับแต่งหัวข้อให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนด
  2. ศึกษาและวางแผน

    • ศึกษาวิธีการทำ Podcast และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง เช่น Spotify, Anchor
    • วางแผนเนื้อหา (Content) สำหรับ Podcast ความยาว 5 นาที โดยมีองค์ประกอบดังนี้:
      • บทนำ: แนะนำตัวและหัวข้อ (ประมาณ 30 วินาที)
      • เนื้อหาหลัก: อธิบายหรือเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ (ประมาณ 4 นาที)
      • บทสรุป: สรุปประเด็นสำคัญและปิดท้ายอย่างน่าสนใจ (ประมาณ 30 วินาที)
  3. ออกแบบปก Podcast (Cover Art)

    • สร้างภาพปก Podcast ที่สอดคล้องกับหัวข้อ โดยใช้โปรแกรมฟรี เช่น Canva หรือ Photopea
    • ปกควรมีชื่อ Podcast, ชื่อหัวข้อ และการออกแบบที่ดึงดูดสายตา
  4. ผลิต Podcast

    • ใช้อุปกรณ์และแอปพลิเคชันที่เหมาะสม (เช่น Anchor หรือ Audacity)
    • บันทึกเสียงและตัดต่อ Podcast ให้มีคุณภาพดี
    • เพิ่มอินโทร/เอาท์โทร และเสียงประกอบที่เหมาะสม
  5. เผยแพร่ Podcast

    • อัปโหลด Podcast ลงบนแพลตฟอร์ม (เช่น Anchor)
    • คัดลอกลิงก์ Podcast และส่งผ่าน Google Classroom เพื่อให้ผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นฟัง
  6. ส่งงาน

    • ส่งลิงก์ Podcast พร้อมไฟล์ภาพปกใน Google Classroom

Wednesday, January 8, 2025

การฟังอย่างตั้งใจ

 ขั้นตอนการใช้ทักษะการฟังอย่างตั้งใจ

     การฟังอย่างตั้งใจ เป็นทักษะที่จำเป็นทั้งสำหรับผู้ฟังและผู้พูด เพราะในฐานะผู้พูด เช่น ครู, ผู้ให้การฝึกอบรม, หรือโค้ช ก็จำเป็นต้องรับฟังผู้เรียนด้วยเช่นกัน เมื่อใดที่ผู้ฟังตั้งคำถาม แสดงความคิดเห็น หรือตอบคำถามของผู้พูด เมื่อนั้นผู้พูดจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ฟัง การฟังที่ปรากฏในขั้นตอนต่อไปนี้จึงเป็นการฟังของทั้งผู้ฟังและของผู้พูดเมื่อเปลี่ยนมาอยู่ในฐานะผู้ฟัง เช่น ขณะรับฟังคำถามหรือฟังคำตอบต่อคำถามที่ผู้พูดถามออกไป

1. ตั้งใจฟังและสังเกตอวจนภาษาทั้งหลาย (Pay attention)
     การฟังอย่างตั้งใจ ผู้ฟังจะต้องใช้สมาธิในการติดตามข้อมูลที่ผู้พูดสื่อสารออกมาทั้งคำพูดและการแสดงออก (fully presented) ตัดอารมณ์หรือสิ่งรบกวนใจออกไปให้มากที่สุดที่จะทำได้ นอกจากการตั้งใจฟังและสังเกตภาษากายของผู้พูดแล้ว ผู้ฟังยังต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย คือ รักษาบรรยากาศให้ผู้พูดมีโอกาสคิดและพูด ไม่ตัดบทผู้พูดหรือตั้งคำถามขณะผู้พูดยังพูดไม่จบประโยค นอกจากนั้นยังควรระวังการใช้ภาษากายของตนเองที่บั่นทอนกำลังใจของผู้พูด เช่น โคลงศีรษะซึ่งเป็นการแสดงความไม่เห็นด้วย หรือมองออกไปในทิศทางอื่นที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ผู้พูดกำลังพูดอยู่ซึ่งเป็นการแสดงความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือไม่สนใจฟัง

2. สงวนท่าทีการแสดงออก (Withhold judgement)
     การฟังอย่างตั้งใจจำเป็นต้องเปิดใจให้กว้าง เปิดรับความคิดใหม่และมุมมองใหม่ ๆ รวมไปถึงโอกาสและความเป็นไปได้ของแนวคิดที่ผู้พูดนำเสนอ แม้ว่าจะมีความคิดเห็นต่างที่ค่อนข้างรุนแรงก็ควรยับยั้งการโต้แย้งและคำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ไม่ทะลุกลางปล้องซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือเป็นการด้อยค่าผู้พูด

3. ทวนสอบความเข้าใจเป็นระยะ (Reflect)
     ผู้พูดไม่ควรคิดว่าผู้ฟังมีพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดีแล้ว การที่ผู้ฟังจ้องตามาที่ผู้พูด ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังฟังอย่างตั้งใจอยู่เสมอไป ผู้พูดจึงควรตรวจสอบความคิดและความเข้าใจของผู้ฟังด้วยการทบทวนประเด็นสำคัญเป็นระยะ ๆ การป้อนคำถามหรือการกระตุ้นให้ผู้ฟังแสดงความคิดเห็น เป็นเทคนิคที่สำคัญอย่างหนึ่งของการฟังอย่างตั้งใจ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ฟังไม่ตกหล่นประเด็นสำคัญและกำลังสืบสานความเข้าใจไปพร้อมกับผู้พูด

4. ซักถามเพื่อความชัดเจน (Clarify)
     ผู้ฟังไม่ควรอายหรือเกรงใจที่จะตั้งคำถามหากสิ่งที่ผู้พูดมีความกำกวมหรือไม่ชัดเจน คำถามที่ใช้ควรเป็นคำถามปลายเปิดแบบ 5W 1 H (อะไร เมื่อไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม และอย่างไร) เพื่อให้ผู้พูดได้อธิบายเนื้อหา ความเป็นมา และเหตุผลมาให้มากที่สุด การตั้งคำถามปลายปิด เช่น ใช่หรือไม่ อาจไม่พอที่จะให้มั่นใจได้ว่าทั้งผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจเรื่องนั้นเหมือน ๆ กัน

5. สรุปความเข้าใจ (Summarize)
     การที่ผู้พูดสรุปประเด็นที่ได้กล่าวไป หรือขอให้ผู้ฟังช่วยสรุปประเด็นสำคัญที่ผู้พูดได้พูดมา นอกจากจะเป็นการสร้างความมั่นใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายว่ามีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวได้ถูกต้องตรงกันแล้ว ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของความรับผิดชอบที่ผู้พูดมีต่อผู้ฟังและผู้ฟังมีต่อตนเองในฐานะผู้เรียนอีกด้วย

6. แลกเปลี่ยนประสบการณ์ (Share)
     ในการเรียนการสอนและการสนทนา ผู้พูดและผู้ฟังควรนำประสบการณ์ที่ตนได้ประสบหรือได้เคยเรียนรู้ มาถ่ายทอดให้อีกฝ่ายทราบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและง่ายต่อความเข้าใจซึ่งจะช่วยให้สามารถมองเห็นการแก้ไขหรือทางออกของปัญหาได้ดีกว่าการรับรู้แต่เพียงหลักการหรือทฤษฎีที่จับต้องไม่ได้

จะพัฒนาทักษะการฟังอย่างตั้งใจได้อย่างไร
     การพัฒนาทักษะการฟังอย่างตั้งใจ สามารถทำได้ด้วยการหมั่นฝึกฝนเทคนิคต่อไปนี้
   1) ไม่ขัดจังหวะการพูดของผู้อื่นบ่อยเกินไป การไม่ขัดจังหวะนี้ นอกจากจะเป็นการไม่ตั้งคำถามปลีกย่อยที่ไม่ใช่สาระสำคัญของเนื้อหาแล้ว ยังหมายถึงการไม่ใช้อุปกรณ์ที่อาจส่งเสียงรบกวนผู้พูด เช่น โทรศัพท์

     การไม่ขัดจังหวะการพูด จะช่วยให้ผู้ฟังมีสมาธิในการฟังได้อย่างตั้งใจมากขึ้น และยังมีเวลาสังเกตผู้ฟังคนอื่น ๆ (ถ้ามี) ว่าเขาเหล่านั้นมีคำถามอะไร ตรงกับสิ่งที่ตนสงสัยหรือไม่ คำถามเหล่านั้นตนรู้คำตอบหรือไม่

   2) ให้ความสนใจกับสิ่งที่ผู้อื่นพูดให้มากกว่าที่ตนตั้งใจจะพูด การฟังอย่างตั้งใจควรตั้งเป้าหมายให้สามารถกล่าวซ้ำข้อความประโยคสุดท้ายที่ผู้พูดเพิ่งกล่าวจบลงได้ ซึ่งจะช่วยให้เรามีสมาธิอยู่กับทุกข้อความที่ผู้พูดได้กล่าวมา

   3) ยอมรับความเงียบ ผู้ฟังไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถามหรือมีความคิดเห็นอยู่ตลอดเวลา คำถามบางคำก็เป็นเพียงการกล่าวลอย ๆ เพื่อทบทวนประเด็นที่เพิ่งพูดจบลง ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะได้รับคำตอบทุกครั้งไป จังหวะการหยุดหรือเงียบไปของผู้พูด บ่อยครั้งทำเพื่อให้ผู้ฟังได้มีเวลาในการใช้ความคิดไตร่ตรองทบทวนหรือจดบันทึก การตั้งคำถามหรือแสดงความคิดเห็นทำลายความเงียบขึ้นมาจึงเป็นการทำลายโอกาสของตนเองและผู้ฟังคนอื่น ควรรอให้ผู้พูดเปิดโอกาสให้ถามหรือแสดงความคิดเห็น จึงค่อยนำประเด็นที่ติดค้างขึ้นมาถาม

   4) กระตุ้นให้อีกฝ่ายเสนอความคิดเห็นและทางแก้ไขปัญหาก่อนจะแสดงความคิดเห็นของตนเอง การขอความเห็นจากผู้พูดหรือผู้ฟังคนอื่นก่อนที่จะตั้งคำถามของตน จะช่วยให้เราได้มีโอกาสรับข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้น และยังได้ทราบถึงมุมมองของผู้อื่นด้วยว่าเป็นอย่างไร

   5) ยกประเด็นสำคัญที่ตนได้รับฟัง ขึ้นมากล่าวซ้ำ เพื่อทบทวนความเข้าใจของตนเอง การยกประเด็นที่ว่านี้ ไม่ใช่การกล่าวซ้ำผู้พูดแบบคำต่อคำ แต่เป็นการเรียบเรียงจากความเข้าใจของตนเอง ด้วยถ้อยคำของตนเอง (paraphrasing) ซึ่งจะช่วยให้ผู้พูดสามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่เราเข้าใจนั้นถูกต้องหรือมีอะไรที่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง

   6) นัดหมายเพื่อหารือในประเด็นที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน หากสิ่งที่ฟังมาขัดแย้งกับข้อมูลที่มีหรือที่เคยรับรู้มา ไม่ควรแสดงความคิดเห็นในลักษณะหักล้างกันต่อหน้า แต่ควรขอโอกาสพูดคุยหรือนำเสนอข้อมูลให้พิจารณาในภายหลังซึ่งอาจเป็นหลังการบรรยาย หรือขอ email, โทรศัพท์เพื่อการติดต่อ การหักล้างสิ่งที่ผู้พูดได้กล่าวมา นอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้ว ยังสร้างความสับสนแก่ผู้อื่นอีกด้วย

กิจกรรมวันนี้ ให้ฟัง podcast 

 https://podcasts.apple.com/th/podcast/5-minutes-good-time/id1483923575?i=1000531636496

แล้วตอบคำถาม ดังนี้ 

คำถามสำหรับวิเคราะห์

  1. Podcast นี้พูดถึงหัวข้ออะไร?

    • ให้นักศึกษาระบุหัวข้อหลักของ Podcast
  2. สรุป 3 ประเด็นสำคัญที่ได้จากการฟัง Podcast

    • เช่น "การฟังเชิงรุกช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี", "การฟังอย่างตั้งใจช่วยลดความขัดแย้ง"
  3. การวิเคราะห์ (Analysis):

    • การฟังเชิงรุกสำคัญอย่างไรในชีวิตประจำวัน?
    • คุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นใน Podcast? เพราะอะไร?
  4. ยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน:

    • ให้นักศึกษายกตัวอย่างสถานการณ์ที่เคยใช้ (หรือควรใช้) การฟังเชิงรุก เช่น การฟังเพื่อนในสถานการณ์เครียด หรือการฟังความคิดเห็นในที่ประชุม หรือที่มหาวิทยาลัย