Tuesday, November 5, 2024

ภาษาเพื่อการสื่อสาร


กิจกรรมภาษาเพื่อการสื่อสาร 1


คำสั่งสำหรับกิจกรรม: “เรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ?”

คำสั่ง:

  1. แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีหน้าที่เล่าเรื่อง 2 เรื่อง ประกอบด้วย เรื่องจริง และ เรื่องเท็จ อย่างละ 1 เรื่อง
  2. ในการเล่าเรื่องแต่ละกลุ่ม:
    • เล่าเรื่องที่เตรียมมาให้เพื่อนๆ ฟัง (สามารถเป็นเรื่องที่อ่าน ฟัง หรือมีประสบการณ์มาก็ได้)
    • ใช้เวลาเล่าเรื่องไม่เกิน 5 นาที (สามารถใช้สื่อประกอบเช่น PPT ได้)
    • หลังจากเล่าเรื่องทั้งสองจบแล้ว ให้กลุ่มนั้นถามเพื่อนในห้องว่า “เรื่องใดเป็นเรื่องจริง?”
  3. ให้เพื่อนในห้องช่วยกันตอบ พร้อมอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงคิดว่าเป็นเรื่องจริง
  4. กลุ่มที่เล่าเฉลยคำตอบ และสรุปเหตุผลเพิ่มเติมสั้นๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน

เวลา:

  • กิจกรรมนี้ใช้เวลารวมประมาณ 30 นาที:
    • เวลาสำหรับการเล่าเรื่องแต่ละกลุ่ม (5 นาทีต่อกลุ่ม) และเวลาเฉลย

ข้อกำหนดการเล่า:

  • การเล่าควรมีความชัดเจน ครบถ้วน และสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ฟัง
  • สามารถใช้สื่อ PPT เพื่อช่วยในการเล่าเรื่องและนำเสนอได้ แต่ควรจำกัดไม่เกิน 5 สไลด์

เกณฑ์การให้คะแนน (20 คะแนน)

  1. ความถูกต้องและการเลือกเรื่อง (5 คะแนน):

    • เรื่องที่เลือกมีความเหมาะสมและชัดเจน
    • มีการแบ่งเรื่องจริงและเรื่องเท็จได้อย่างน่าสนใจและชัดเจน
  2. การนำเสนอ (10 คะแนน):

    • ความชัดเจนในการเล่าเรื่อง (5 คะแนน): เล่าเรื่องได้ชัดเจนและครบถ้วน
    • การใช้สื่อ (PPT) (3 คะแนน): ใช้สื่อประกอบได้อย่างเหมาะสมและเสริมความน่าสนใจ
    • การจัดการเวลา (2 คะแนน): เล่าเรื่องไม่เกินเวลา 5 นาทีตามที่กำหนด
  3. การตอบคำถามและการเฉลย (5 คะแนน):

    • ความสามารถในการให้เหตุผลและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าได้ดี
    • การเฉลยและสรุปผลอย่างน่าสนใจ สร้างความเข้าใจให้กับเพื่อนในห้อง


สรุปมารู้จักคำว่าการสื่อสาร และความสำคัญกัน

 การสื่อสารมีความสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการเรียน เพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และความรู้สึกต่าง ๆ อย่างเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมค่ะ โดยสามารถแบ่งความสำคัญของการสื่อสารออกได้เป็นข้อหลัก ๆ ดังนี้:

1. การสร้างความเข้าใจร่วมกัน

  • การสื่อสารช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นต้องการจะสื่อ และในทางกลับกันช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเราด้วยเช่นกัน การสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพทำให้ไม่เกิดความเข้าใจผิด ช่วยลดความขัดแย้งและเพิ่มความราบรื่นในการทำงานร่วมกัน

2. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

  • การสื่อสารที่ดีช่วยให้เราเชื่อมต่อกับผู้คนรอบข้างได้ ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และสังคม การสื่อสารเชิงบวกช่วยสร้างความไว้วางใจและความเคารพระหว่างกัน ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืน

3. การตัดสินใจและแก้ไขปัญหา

  • การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิเคราะห์ปัญหา และเลือกตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและครอบคลุม การพูดคุยและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์นำไปสู่การตัดสินใจที่ดีและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การถ่ายทอดความรู้และพัฒนาการเรียนรู้

  • การสื่อสารเป็นช่องทางหลักในการส่งต่อความรู้และทักษะ การพูด ฟัง อ่าน และเขียน ทำให้เราสามารถแบ่งปันความรู้ใหม่ ๆ แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ

5. การบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคลและเป้าหมายร่วม

  • ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายส่วนบุคคลหรือเป้าหมายในงาน การสื่อสารที่ชัดเจนทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจวิธีการทำงานและเป้าหมายที่ต้องการ การสื่อสารที่ดีช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความสำเร็จที่ทั้งตัวบุคคลและทีมตั้งไว้

6. การสร้างบรรยากาศที่ดีและความพึงพอใจในที่ทำงาน

  • การสื่อสารที่เปิดกว้างและมีการตอบรับที่ดีช่วยลดความเครียด และส่งเสริมบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าในความคิดเห็นของตนเอง

7. การปรับตัวและสร้างความก้าวหน้า

  • การสื่อสารเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดและมุมมองใหม่ ๆ ซึ่งช่วยในการพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนรู้ งาน หรือการเข้าสังคม
กิจกรรมการวิเคราะห์สื่อ

    การวิเคราะห์เรื่องราวเพื่อให้รู้เท่าทันสื่อนั้นมีความสำคัญมากในปัจจุบัน เพราะสื่อและเรื่องราวต่างๆ ที่เราพบเห็นทุกวันอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เราจึงต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และรู้เท่าทันสื่อเพื่อแยกแยะความจริงจากข้อมูลที่บิดเบือน หรือเพียงแค่การบอกเล่าเรื่องราวทั่วไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางองค์ความรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์เรื่องราวในกิจกรรมการเล่าเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ

1. ความรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)

การรู้เท่าทันสื่อคือทักษะในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างเนื้อหาผ่านสื่อหลากหลายประเภทอย่างมีวิจารณญาณ การรู้เท่าทันสื่อช่วยให้เราเข้าใจถึงแรงจูงใจของผู้ผลิตสื่อ วิเคราะห์เนื้อหาเพื่อแยกแยะความจริงจากการบิดเบือน และป้องกันการเข้าใจผิดจากข่าวหรือข้อมูลปลอม


2. แนวทางในการวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของเรื่องราว

การประเมินความจริงหรือเท็จของเรื่องราวที่ได้รับฟัง สามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ดังนี้

  • การพิจารณาแหล่งที่มาของเรื่องราว: ให้ตรวจสอบว่าเรื่องราวมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือหรือไม่ แหล่งที่เชื่อถือได้มักมาจากผู้เชี่ยวชาญหรืองานวิจัยที่มีหลักฐานประกอบ ไม่ใช่จากคำบอกเล่าที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

  • การวิเคราะห์เนื้อหา: พิจารณาว่าเนื้อหาที่เล่ามีความสอดคล้องและสมเหตุสมผลหรือไม่ เรื่องราวที่เป็นความจริงมักจะมีข้อมูลที่สมเหตุสมผลและมีลำดับเหตุการณ์ชัดเจน

  • การตรวจสอบอคติ (Bias): บางครั้งสื่อหรือผู้เล่าอาจมีอคติซ่อนอยู่ เช่น ต้องการชักจูงให้ผู้ฟังเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้ฟังควรพิจารณาว่าเรื่องนั้นมีการบิดเบือนความจริงหรือใช้ภาษาที่กระตุ้นอารมณ์มากเกินไปหรือไม่

  • การสังเกตถึงการใช้ภาษาที่ผิดปกติหรือเกินจริง: การใช้ภาษาที่เกินจริงเช่น การกล่าวเกินความจริง การใช้คำว่า "ทุกคน" หรือ "ไม่มีใคร" มักเป็นสัญญาณที่ทำให้เรื่องราวไม่น่าเชื่อถือ เพราะในความจริงมีน้อยครั้งที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างครอบคลุมถึงขนาดนั้น

  • การประเมินโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น: ลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เล่ามาเพื่อยืนยันหรือโต้แย้งกับสิ่งที่ได้ฟัง การอ้างอิงถึงข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับจากหลายแหล่งมักจะทำให้เรื่องราวน่าเชื่อถือมากขึ้น


3. การตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล

การตั้งคำถามเป็นทักษะที่สำคัญในการรู้เท่าทันสื่อ เราควรตั้งคำถามดังนี้เพื่อช่วยประเมินความน่าเชื่อถือ:

  • ผู้เล่าต้องการให้ผู้ฟังรู้สึกหรือเชื่ออย่างไร? การตั้งคำถามเช่นนี้ช่วยให้เราระวังและมองหาเจตนาหรืออคติที่อาจอยู่ในเรื่องราว
  • มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานอะไรที่ยืนยันเรื่องนี้ได้หรือไม่? ข้อมูลหรือหลักฐานที่ยืนยันสามารถทำให้เรื่องราวดูมีน้ำหนักมากขึ้น
  • มีข้อมูลอื่นที่ให้ความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างจากนี้หรือไม่? การมองเรื่องราวจากหลายมุมมองช่วยให้เราเห็นภาพที่ครบถ้วนและหลากหลาย

4. การรู้เท่าทันสื่อในการใช้งานจริง

การรู้เท่าทันสื่อไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธข้อมูลทุกอย่างที่ไม่ตรงกับความเชื่อของเรา แต่หมายถึงการเปิดรับฟังพร้อมกับการวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ เพื่อให้เราตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล


Saturday, October 5, 2024

การเขียนการสะท้อนคิด

 กิจกรรมการเขียนการสะท้อนคิด- การตั้งคำถาม

กิจกรรมที่ 1

1.  วัตถุประสงค์ของกิจกรรม:

ให้นักศึกษาได้ฝึกการตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับการสะท้อนคิดตนเอง (Reflection) ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้ การวิเคราะห์ประสบการณ์ และการวางแผนเพื่อพัฒนาตนเอง
2.  คำชี้แจงกิจกรรม:
นักศึกษาแต่ละคนให้ตั้งคำถาม 5 ข้อที่เกี่ยวกับการสะท้อนคิดตนเอง โดยยึดตามแนวคิดต่อไปนี้:
  • การสะท้อนคิดนำไปสู่การเรียนรู้
  • การสะท้อนคิดเป็นกระบวนการแบบแอคทีฟและต่อเนื่อง
  • การสะท้อนคิดมีลักษณะเป็นวัฏจักร
  • การสะท้อนคิดอาศัยการมองในหลายมิติ
3.  ตัวอย่างคำถามที่นักศึกษาสามารถตั้งได้:
(สามารถใช้เป็นแนวทางหรือแรงบันดาลใจในการตั้งคำถาม)
1.   การสะท้อนความคิดนำไปสู่การเรียนรู้
  • เมื่อฉันสะท้อนความคิดของตัวเอง ฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา?
  • การไตร่ตรองเรื่องใดที่ทำให้ฉันเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการจัดการสถานการณ์นั้น ๆ?
  • ฉันสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้จากการไตร่ตรองไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง?
2.   การสะท้อนความคิดเป็นกระบวนการแบบแอคทีฟและต่อเนื่อง
  •  มีประสบการณ์ในอดีตใดบ้างที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในปัจจุบันของฉัน?
  • ฉันสามารถวางแผนอย่างไรในอนาคตเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเดิมจากประสบการณ์ที่สะท้อนกลับมา?
3.   การสะท้อนความคิดมีลักษณะเป็นวัฏจักร
  •     ครั้งสุดท้ายที่ฉันสะท้อนความคิดตนเอง ฉันได้นำผลจากการไตร่ตรองนั้นไปพัฒนาอย่างไร?
  •     การไตร่ตรองเรื่องใดที่ทำให้ฉันได้แนวคิดใหม่ในการจัดการกับปัญหาที่เผชิญอยู่?
4.  การสะท้อนความคิดอาศัยการมองในหลายมิติ
  • ฉันได้พิจารณามุมมองของผู้อื่นอย่างไรบ้างเมื่อสะท้อนความคิดเกี่ยวกับปัญหาหรือสถานการณ์นั้น?
  • มีมุมมองหรือสมมติฐานใดบ้างที่ฉันเคยเชื่อถือ แต่พบว่าต้องปรับแก้เมื่อฉันได้สะท้อนความคิดตนเอง?
4.   ขั้นตอนการทำกิจกรรม:
  • ให้นักศึกษาเขียนคำถามสะท้อนคิดตนเองจำนวน 5 ข้อ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และสรุปคำตอบจากการคิดไตร่ตรองตนเอง
  •  แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อแลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบที่แต่ละคนได้ตั้งขึ้น
  • ให้กลุ่มเพื่อนในกลุ่มช่วยกันให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์
5.    การให้คะแนนกิจกรรม (คะแนนเต็ม 10 คะแนน):
  • ความสร้างสรรค์และความลึกซึ้งของคำถามที่ตั้งขึ้น (4 คะแนน)
  • ความสอดคล้องของคำถามกับแนวคิดที่นำเสนอในข้อความ (3 คะแนน)
  • การมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในกลุ่ม (3 คะแนน)
           กิจกรรมนี้จะช่วยให้นักศึกษาได้ฝึกคิดวิเคราะห์



กิจกรรมสะท้อนคิดที่ 2

            ให้นักศึกษาตั้งคำถามเกี่ยวกับตนเองโดยเพื่อนจะถามคำถามหนึ่งคำถามจากความรู้ที่ได้เรียน ถือเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้สะท้อนความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้และเชื่อมโยงกับประสบการณ์ตนเอง  

 

1. วัตถุประสงค์ของกิจกรรม:

เพื่อให้นักศึกษาได้สะท้อนถึงการเรียนรู้และประสบการณ์ของตนเอง

ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการตั้งคำถามและให้คำตอบจากเพื่อนร่วมกลุ่ม

พัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์

2. ขั้นตอนการจัดกิจกรรม:

ขั้นตอนที่ 1: อธิบายแนวคิดการสะท้อนคิดตนเอง

ก่อนเริ่มกิจกรรม อธิบายให้นักศึกษาเข้าใจว่า "การสะท้อนคิดตนเอง" คืออะไร เช่น การทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ วิเคราะห์ประสบการณ์ ความรู้สึก และการกระทำของตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองในอนาคต

ขั้นตอนที่ 2: แบ่งกลุ่มนักศึกษา

แบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่มย่อย (เช่น กลุ่มละ 4-5 คน) โดยให้ทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 3: ให้แต่ละคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการเรียนรู้ของตนเอง

ให้นักศึกษาแต่ละคนตั้งคำถามที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของตัวเองจากเนื้อหาที่เรียนผ่านมา ตัวอย่างคำถาม:

“ฉันได้เรียนรู้อะไรจากหัวข้อนี้ที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน?”

“สิ่งใดในเนื้อหาที่เรียนรู้ที่ฉันรู้สึกว่ายังไม่เข้าใจดีพอ?”

“สิ่งที่ฉันสามารถพัฒนาได้จากบทเรียนนี้คืออะไร?”

“ฉันสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร?”

“สิ่งใดที่ฉันเรียนรู้แล้วรู้สึกว่าเป็นความท้าทายมากที่สุด?”

ขั้นตอนที่ 4: เพื่อนในกลุ่มถามคำถามจากการสะท้อนคิด

หลังจากที่แต่ละคนได้สะท้อนคิดแล้ว ให้เพื่อนในกลุ่มถามคำถามคนละ 1 คำถามเพื่อเพิ่มเติมหรือกระตุ้นความคิดเชิงลึก เช่น:

“คุณคิดว่าการนำสิ่งนี้ไปใช้จริงจะเจออุปสรรคอะไร?”

“คุณสามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงวิธีคิดนี้ในอนาคตอย่างไร?”

“มีสิ่งใดในประสบการณ์ของคุณที่สามารถเปรียบเทียบกับบทเรียนนี้ได้บ้าง?”

ขั้นตอนที่ 5: การแบ่งปันและแลกเปลี่ยน

แต่ละคนจะต้องตอบคำถามที่เพื่อนได้ถามไว้ การตอบควรแสดงให้เห็นถึงการทบทวนและการสะท้อนคิดอย่างจริงจัง

ขั้นตอนที่ 6: การประเมินและให้คำแนะนำ

หลังจากที่ทุกคนได้แลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบกันแล้ว ให้แต่ละกลุ่มสรุปความคิดเห็นและข้อสังเกตที่ได้จากการสนทนา เช่น การค้นพบประเด็นที่น่าสนใจ หรือข้อเสนอแนะในการพัฒนาตนเองในอนาคต

3. เกณฑ์การให้คะแนน (10 คะแนน):

ความสามารถในการตั้งคำถามที่สะท้อนความคิดตนเอง (3 คะแนน): คำถามควรเชื่อมโยงกับการเรียนรู้และความสามารถในการนำความรู้นั้นไปพัฒนา

คุณภาพของคำตอบที่สะท้อนคิด (3 คะแนน): คำตอบควรมีความชัดเจน ลึกซึ้ง และแสดงถึงความเข้าใจ

การมีส่วนร่วมในการถามคำถามของเพื่อน (2 คะแนน): การตั้งคำถามที่ช่วยกระตุ้นให้เพื่อนสะท้อนคิดได้มากขึ้น

การให้ข้อเสนอแนะและการสนับสนุนเพื่อนร่วมกลุ่ม (2 คะแนน): ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อเพื่อน


4. การสรุปกิจกรรม:

    ปิดกิจกรรมด้วยการให้แต่ละกลุ่มนำเสนอสั้น ๆ ว่าพวกเขาได้เรียนรู้อะไรจากการสะท้อนคิดและคำถามของเพื่อน ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาเห็นมุมมองที่หลากหลายและการพัฒนาตนเอง

 



Tuesday, September 24, 2024

งานเขียน บทที่ 1

 การออกแบบกิจกรรมการเขียนบทที่ 1 ของงานวิจัยหลักสูตรและการสอน

แนวคิดในการออกแบบกิจกรรม

นักศึกษาจะได้ฝึกทักษะการเขียนบทที่ 1 ของงานวิจัย โดยมีเป้าหมายให้นักศึกษาใช้ความรู้จากทฤษฎี แนวคิด และข้อมูลจากแหล่งข้อมูลวิจัยที่สำคัญในการกำหนดปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหา ในรูปแบบที่ชัดเจนและถูกต้องตามมาตรฐานการเขียนงานวิจัย พร้อมทั้งฝึกการเขียนอ้างอิงในรูปแบบ APA 7th edition ซึ่งช่วยพัฒนาความสามารถในการค้นคว้าและเชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติจริง

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม

  1. การศึกษาทฤษฎีและแนวคิด

    • นักศึกษาจะต้องค้นคว้าและศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจัยที่ตนเองสนใจ โดยใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น บทความวิจัย วารสาร และแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่ได้รับการยอมรับ
    • จากการศึกษา นักศึกษาต้องนำทฤษฎี แนวคิด หรือข้อมูลวิจัยที่พบ มาวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ในการเขียน "ที่มาและความสำคัญของปัญหา" ในบทที่ 1 ของงานวิจัย
  2. การกำหนดปัญหา

    • นักศึกษาต้องแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ จากมุมมองที่กว้างไปสู่มุมมองที่เฉพาะเจาะจง พร้อมทั้งระบุความสำคัญของปัญหาในลักษณะที่สมเหตุสมผล โดยอ้างอิงทฤษฎีหรือข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และการอ้างอิงในรูปแบบ APA 7 อย่างถูกต้อง
    • นำเสนอปัญหาที่นักศึกษาพบและต้องการศึกษา รวมถึงเขียนคำถามการวิจัยที่ชัดเจนเพื่อให้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา
  3. การเขียนวัตถุประสงค์ และสมมุติฐานของการวิจัย

    • นักศึกษาจะเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่แสดงเป้าหมายหรือจุดประสงค์หลักของการศึกษาอย่างชัดเจน
    • ถ้าเป็นงานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ หรือเชิงหาความสัมพันธ์ ต้องกำหนดสมมุติฐานของการวิจัย แต่ถ้าเป็นงานวิจัยเชิงสำรวจอาจไม่จำเป็นต้องใส่สมมุติฐาน
  4. การกำหนดกรอบแนวคิด

    • นักศึกษาต้องกำหนดกรอบแนวคิดที่ชัดเจนสำหรับการวิจัย โดยใช้ทฤษฎีหรือแนวคิดจากเอกสารที่ได้สืบค้นมา
  5. การกำหนดขอบเขตของการวิจัย และข้อตกลงเบื้องต้น

    • นักศึกษาจะเขียนขอบเขตของการวิจัย ซึ่งประกอบไปด้วยขอบเขตของประชากร ขอบเขตของเนื้อหาหรือตัวแปรที่ต้องการศึกษา
    • ถ้ามีข้อตกลงเบื้องต้น จะต้องระบุให้ชัดเจนถึงทฤษฎีหรือแนวคิดที่นำมาใช้
  6. นิยามศัพท์เฉพาะ

    • นักศึกษาจะระบุนิยามศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย เพื่อทำให้ผู้อ่านเข้าใจคำศัพท์ที่ใช้ในบริบทของการศึกษา
  7. การเขียนประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

    • นักศึกษาจะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย แบ่งเป็น (ก) ประโยชน์ในเชิงวิชาการ และ (ข) ประโยชน์ในการนำไปใช้

การจัดส่งงาน

  • รูปแบบการส่งงาน: นักศึกษาต้องส่งงานเป็นเอกสาร paper ใน Google Classroom และนำเสนองานวิจัยเป็นไฟล์ PowerPoint (PPT) ในห้องเรียนตามที่กำหนด
  • รูปแบบการเขียนอ้างอิง: APA 7th edition

เกณฑ์การให้คะแนน (20 คะแนน)

  • การเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหา (5 คะแนน): ประเมินจากความชัดเจน การใช้ทฤษฎี แนวคิดที่เหมาะสม และการอ้างอิงตามรูปแบบ APA
  • การเขียนคำถามการวิจัย และวัตถุประสงค์ของการวิจัย (4 คะแนน): ประเมินจากความชัดเจนในการตั้งคำถามการวิจัย และการกำหนดวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับปัญหาที่ระบุ
  • สมมติฐาน และกรอบแนวคิดของการวิจัย (3 คะแนน): ประเมินจากการใช้สมมติฐานที่ถูกต้องตามประเภทของงานวิจัย และกรอบแนวคิดที่ชัดเจน
  • การเขียนขอบเขตของการวิจัย ข้อตกลงเบื้องต้น (ถ้ามี) (3 คะแนน): ประเมินจากการเขียนขอบเขตที่ครอบคลุมประชากรและเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
  • นิยามศัพท์เฉพาะ (2 คะแนน): ประเมินจากความชัดเจนและความถูกต้องในการระบุนิยามศัพท์ที่จำเป็นต่อการวิจัย
  • การระบุประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย (3 คะแนน): ประเมินจากการระบุประโยชน์ในเชิงวิชาการและการนำไปใช้

Friday, September 20, 2024

กิจกรรมวิเคราะห์ปัญหา- วิจัย

 

กิจกรรม: “การค้นพบปัญหาเพื่อการวิจัย”

วัตถุประสงค์:

  1. ให้นักศึกษามีความเข้าใจในกระบวนการ การมองเห็นปัญหา ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการวิจัย
  2. ฝึกการทำงานเป็นทีมเพื่อ ระบุปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนการสอนหรือระบบโรงเรียน
  3. เรียนรู้วิธีการ วิเคราะห์ปัญหา เพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบ

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม:

  1. แบ่งกลุ่มนักศึกษา:

    • นักศึกษาแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 3 คน
    • แต่ละกลุ่มจะรับผิดชอบในการค้นหาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนการสอน หรือ กระบวนการศึกษาในโรงเรียนซึ่งพวกเขาเคยพบเจอในประสบการณ์การเรียน หรือเป็นปัญหาที่อาจสังเกตได้จากการฝึกสอน (หากมีประสบการณ์)
  2. กิจกรรมค้นหาปัญหา:

    • ขั้นตอนที่ 1: ในแต่ละกลุ่มให้ ระดมสมอง โดยให้นักศึกษาแต่ละคนช่วยกันนำเสนอปัญหาที่พวกเขาเคยประสบในโรงเรียนหรือห้องเรียน เช่น

      • ปัญหาด้านวิธีการสอน (เช่น ครูอธิบายไม่ชัดเจน หรือวิธีการสอนไม่เหมาะกับผู้เรียน)
      • ปัญหาด้านวินัยในห้องเรียน (เช่น นักเรียนไม่มีแรงจูงใจในการเรียน)
      • ปัญหาด้านเทคโนโลยีในห้องเรียน (เช่น การใช้สื่อการสอนไม่ทันสมัย)
      • ปัญหาด้านการประเมินผล (เช่น การประเมินไม่ยุติธรรมหรือไม่สอดคล้องกับการเรียนรู้)
    • ขั้นตอนที่ 2: ให้กลุ่มช่วยกัน เลือกปัญหาหนึ่งปัญหาที่คิดว่าสำคัญที่สุด และมีโอกาสในการแก้ไขได้

  3. การวิเคราะห์ปัญหา:

    • ขั้นตอนที่ 3: หลังจากที่แต่ละกลุ่มเลือกปัญหาแล้ว ให้ช่วยกัน วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ว่าเกิดจากอะไรบ้าง เช่น

      • ปัญหาการเรียนรู้เกิดจากผู้เรียนหรือครู?
      • ปัญหานี้เป็นเพราะวิธีการสอนหรือสภาพแวดล้อมในห้องเรียน?
      • หากเป็นปัญหาทางเทคโนโลยีหรือการใช้สื่อ ควรมีการสนับสนุนอย่างไร?
    • ให้ตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์ เช่น

      • ปัญหานี้กระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างไร?
      • จะมีวิธีใดในการแก้ไขหรือปรับปรุงปัญหานี้?
  4. เตรียมแผนการนำเสนอ:

    • ขั้นตอนที่ 4: ให้แต่ละกลุ่มเตรียม นำเสนอ ในรูปแบบของแผนภาพหรือสไลด์ โดยประกอบไปด้วย:
      • ปัญหาที่ระบุ
      • สาเหตุของปัญหา
      • ผลกระทบของปัญหานั้นต่อการเรียนการสอน
      • วิธีการหรือแนวทางเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหา
  5. การนำเสนอและอภิปราย:

    • ขั้นตอนที่ 5: ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผลการวิเคราะห์ปัญหาของตนเอง ใช้เวลา 5-7 นาทีต่อกลุ่ม หลังจากนั้นจะมีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระหว่างกลุ่มอื่น ๆ ว่าปัญหาที่นำเสนอเป็นปัญหาที่พบในสถานการณ์จริงหรือไม่ และควรมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร
  6. สะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflection):

    • ขั้นตอนที่ 6: หลังจากกิจกรรมเสร็จสิ้น ให้แต่ละกลุ่มทำการ สะท้อนผลการเรียนรู้ (Reflection) โดยให้นักศึกษาแต่ละคนเขียนรายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับ:
      • ปัญหาที่พวกเขาเลือกมีความสำคัญอย่างไร?
      • พวกเขาได้เรียนรู้อะไรจากการระดมสมองและวิเคราะห์ปัญหา?
      • กระบวนการระบุปัญหานี้จะมีประโยชน์อย่างไรต่อการวิจัยในอนาคต?

เครื่องมือในการประเมินผล:

  • เกณฑ์การประเมินกลุ่ม: ความสามารถในการเลือกและระบุปัญหาที่มีความชัดเจน วิเคราะห์สาเหตุได้อย่างครอบคลุม มีการนำเสนอที่ชัดเจน และสามารถเชื่อมโยงปัญหากับการเรียนการสอนได้ดี
  • เกณฑ์การประเมินรายบุคคล: การมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์และอภิปราย การสะท้อนผลการเรียนรู้ที่แสดงถึงความเข้าใจในกระบวนการวิจัยและการระบุปัญหา

Saturday, September 7, 2024

จิตวิทยาสำหรับครู

 

ชื่อกิจกรรม:

"การประยุกต์ใช้จิตวิทยาในห้องเรียนผ่านวิดีโอคลิป"

เป้าหมายของกิจกรรม:

  1. ให้ผู้เรียนได้ศึกษาแนวคิดทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
  2. ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีม การคิดวิเคราะห์ และการสร้างสรรค์สื่อการสอน
  3. ให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ความรู้ทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการสอน
  4. เสริมสร้างความเข้าใจและความสามารถในการสื่อสารและนำเสนอความรู้ทางจิตวิทยาในรูปแบบที่สร้างสรรค์

รูปแบบกิจกรรม:

  • แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มละ 3 คน
  • แต่ละกลุ่มจะต้องเลือกหัวข้อเกี่ยวกับจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนรู้ การจูงใจในการเรียน ทฤษฎีการเรียนรู้ เป็นต้น
  • ให้แต่ละกลุ่มสร้างวิดีโอคลิปความยาวไม่เกิน 5 นาที เพื่อนำเสนอความรู้ในเรื่องที่เลือก
  • ในคลิปจะต้องกล่าวถึงชื่อแนวคิดหรือทฤษฎี เจ้าของทฤษฎี และการประยุกต์ใช้ในห้องเรียน

ขั้นตอนการทำกิจกรรม:

  1. แบ่งกลุ่ม – จัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มละ 3 คน
  2. เลือกหัวข้อ – แต่ละกลุ่มเลือกแนวคิดหรือทฤษฎีจิตวิทยาที่สนใจและต้องการศึกษา
  3. ศึกษาหาข้อมูล – แต่ละกลุ่มศึกษาทฤษฎีที่เลือกและหาวิธีการประยุกต์ใช้ในห้องเรียน
  4. วางแผนการสร้างวิดีโอ – แต่ละกลุ่มวางแผนและออกแบบวิดีโอเพื่อสื่อสารแนวคิดทางจิตวิทยา
  5. สร้างวิดีโอ – ใช้เครื่องมือที่มีสร้างวิดีโอคลิปไม่เกิน 5 นาที โดยเน้นการนำเสนอความรู้ทางจิตวิทยาอย่างสร้างสรรค์และมีเหตุผลสนับสนุน
  6. นำเสนอ – แสดงวิดีโอคลิปที่สร้างเสร็จในชั้นเรียน

การประเมินวิดีโอ:

เกณฑ์การประเมิน (เต็ม 20 คะแนน)

  1. ความถูกต้องของข้อมูลทางจิตวิทยา (8 คะแนน)

    • วิดีโอต้องแสดงความรู้ที่ถูกต้องและครบถ้วนเกี่ยวกับแนวคิดหรือทฤษฎีที่เลือก
    • ระบุเจ้าของทฤษฎีหรือแนวคิดและอธิบายการนำไปใช้ในห้องเรียนได้อย่างชัดเจน
  2. การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์การเรียนการสอน (6 คะแนน)

    • การนำเสนอวิธีการประยุกต์ใช้ทฤษฎีในห้องเรียนต้องมีความชัดเจน มีตัวอย่างที่เข้าใจง่ายและเหมาะสม
  3. ความคิดสร้างสรรค์และการนำเสนอ (4 คะแนน)

    • วิดีโอต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีการนำเสนอที่น่าสนใจ ใช้เทคนิคการทำวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การทำงานเป็นทีมและการแบ่งหน้าที่ (2 คะแนน)

    • ประเมินความร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่ม การแบ่งงานกันทำ และการมีส่วนร่วมของแต่ละคนในกลุ่ม

เอกสารประกอบการอภิปราย สะท้อนคิด และวิเคราะห์:

  1. วัตถุประสงค์
    เอกสารประกอบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนสะท้อนการทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ทฤษฎีจิตวิทยา และวิธีการประยุกต์ใช้ความรู้นี้ในการสอน

  2. หัวข้อที่ต้องวิเคราะห์และอภิปราย:

    1. แนวคิดหรือทฤษฎีที่เลือก

      • อธิบายแนวคิดหรือทฤษฎีที่กลุ่มของคุณเลือก ทำไมจึงเลือกทฤษฎีนี้? ทฤษฎีนี้สามารถใช้พัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างไร?
    2. การทำงานเป็นทีม

      • สมาชิกในทีมของคุณทำงานร่วมกันอย่างไร? การแบ่งงานและการสื่อสารในทีมเป็นอย่างไร? มีปัญหาอะไรบ้างและแก้ไขอย่างไร?
    3. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในห้องเรียน

      • ทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้ในห้องเรียนได้จริงหรือไม่? มีข้อดีและข้อจำกัดอะไรบ้างในการประยุกต์ใช้? คิดว่ามีอะไรที่จะพัฒนาได้อีก?
    4. สะท้อนคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้

      • ในการทำกิจกรรมนี้ได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับทั้งจิตวิทยาและการทำงานร่วมกันเป็นทีม?

Saturday, August 3, 2024

การวิเคราะห์วีดีโอ เรื่องการลำเอียง

 เข้าใจวิดีโอ:

วิดีโอนี้แนะนำ แสดงให้เห็นว่าความลำเอียง (bias) สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว และส่งผลต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมของเรา

การเชื่อมโยงกับจิตวิทยา:

  • จิตวิทยาทางสังคม: แนวคิดเรื่องอคติทางสังคม (social bias) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่เป็นกลางเกี่ยวกับกลุ่มคนหรือสิ่งของบางอย่าง การทดลองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าอคติเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร และส่งผลกระทบต่อการรับรู้และการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร
  • จิตวิทยาพัฒนาการ: อคติสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็ก และได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และประสบการณ์ส่วนตัว ช่วยให้เราเข้าใจถึงกระบวนการพัฒนาของอคติ และวิธีการป้องกันไม่ให้อคติเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเด็ก
  • จิตวิทยาความรู้ความเข้าใจ:ความคิดและความรู้สึกของเราสามารถเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และเราอาจไม่ตระหนักถึงความเชื่อมโยงเหล่านี้เสมอไป การทำความเข้าใจกระบวนการนี้ช่วยให้เราสามารถควบคุมความคิดและพฤติกรรมของตนเองได้ดียิ่งขึ้น

การนำไปประยุกต์ใช้ในการสอน:

  • สร้างความตระหนัก: ช่วยให้นักเรียนตระหนักว่าทุกคนมีอคติ และอคติเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการปฏิบัติต่อผู้อื่น
  • ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์: สอนให้นักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลและท้าทายความเชื่อเดิมๆ
  • พัฒนาทักษะการสื่อสาร: สนับสนุนให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
  • ปลูกฝังค่านิยม: ส่งเสริมค่านิยมที่เกี่ยวกับความเท่าเทียม ความยุติธรรม และการเคารพในความแตกต่าง
  • กิจกรรมในชั้นเรียน:
    • อภิปรายผลลัพธ์ของแบบทดสอบ
    • จัดกิจกรรมที่ช่วยลดอคติ เช่น การทำกิจกรรมกลุ่มที่หลากหลาย
    • ศึกษาตัวอย่างบุคคลที่ต่อสู้กับอคติ

      วิธีการรับมือและแก้ไขพฤติกรรมของนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม

      เข้าใจสถานการณ์:

      • รับฟังอย่างเปิดใจ: สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้นักเรียนสามารถเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่
      • สังเกตพฤติกรรม: สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเรียน เช่น การถอนตัว การก้าวร้าว หรือการเปลี่ยนแปลงอารมณ์บ่อยๆ
      • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากจำเป็น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น เพื่อขอคำแนะนำในการจัดการกับสถานการณ์

      สร้างความสัมพันธ์:

      • แสดงความเข้าใจ: ทำให้นักเรียนรู้สึกว่ามีคนเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ
      • ให้กำลังใจ: ชื่นชมในความพยายามและความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของนักเรียน
      • สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น: สร้างความรู้สึกเป็นกันเองในห้องเรียน

      ปรับเปลี่ยนวิธีการสอน:

      • ปรับเนื้อหาและวิธีการสอน: ทำให้เนื้อหาเข้าใจง่ายและน่าสนใจ
      • ให้โอกาสในการแสดงออก: เช่น การทำกิจกรรมกลุ่ม การนำเสนอผลงาน
      • ให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคล: สนับสนุนนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

      ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง:

      • สื่อสารอย่างเปิดเผย: แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของนักเรียน
      • ร่วมกันวางแผนการช่วยเหลือ: หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

      ทักษะที่จำเป็นสำหรับครู:

      • ความอดทน: เด็กที่ประสบปัญหาจากการเลี้ยงดูอาจต้องการเวลาในการปรับตัว
      • ความเข้าใจ: เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม และไม่ตำหนินักเรียน
      • ความยืดหยุ่น: ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน
      • ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น: ร่วมมือกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือนักเรียน

      วิธีการรับมือและแก้ไขพฤติกรรมของนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม

      เข้าใจสถานการณ์:

      • รับฟังอย่างเปิดใจ: สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้นักเรียนสามารถเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่
      • สังเกตพฤติกรรม: สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเรียน เช่น การถอนตัว การก้าวร้าว หรือการเปลี่ยนแปลงอารมณ์บ่อยๆ
      • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากจำเป็น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น เพื่อขอคำแนะนำในการจัดการกับสถานการณ์

      สร้างความสัมพันธ์:

      • แสดงความเข้าใจ: ทำให้นักเรียนรู้สึกว่ามีคนเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ
      • ให้กำลังใจ: ชื่นชมในความพยายามและความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของนักเรียน
      • สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น: สร้างความรู้สึกเป็นกันเองในห้องเรียน

      ปรับเปลี่ยนวิธีการสอน:

      • ปรับเนื้อหาและวิธีการสอน: ทำให้เนื้อหาเข้าใจง่ายและน่าสนใจ
      • ให้โอกาสในการแสดงออก: เช่น การทำกิจกรรมกลุ่ม การนำเสนอผลงาน
      • ให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคล: สนับสนุนนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

      ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง:

      • สื่อสารอย่างเปิดเผย: แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของนักเรียน
      • ร่วมกันวางแผนการช่วยเหลือ: หาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

      ทักษะที่จำเป็นสำหรับครู:

      • ความอดทน: เด็กที่ประสบปัญหาจากการเลี้ยงดูอาจต้องการเวลาในการปรับตัว
      • ความเข้าใจ: เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม และไม่ตำหนินักเรียน
      • ความยืดหยุ่น: ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน
      • ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น: ร่วมมือกับผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือนักเรียน

Saturday, January 27, 2024

กิจกรรมการเขียนบทความ

 ส่วนที่ 1: ขั้นตอนที่ 1-5 (เตรียมการ)

  1. เลือกหัวข้อ: ให้เริ่มต้นโดยการเลือกหัวข้อหรือเรื่องที่คุณสนใจและมีความรู้เกี่ยวกับมัน.


  2. การวิจัยและรวบรวมข้อมูล: ทำการวิจัยและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เลือก โดยอาจต้องอ่านหนังสือ ค้นหาบทความ หรือค้นข้อมูลออนไลน์


  3. การวางโครงสร้าง: ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียนบทความจริง วางโครงสร้างหรือแผนที่จะนำเสนอข้อมูลในบทความของคุณ.


  4. การเขียนบทความ: มาถึงขั้นตอนการเขียนบทความตามโครงสร้างที่คุณวางไว้ ควรใช้ภาษาที่ชัดเจนและสื่อความหมายอย่างชัดเจน เริ่มด้วยบทนำที่มีความเข้าใจและท้าทายผู้อ่าน.


  5. การแก้ไขและตรวจสอบ: เมื่อคุณเขียนเสร็จสิ้น ควรทำการแก้ไขและตรวจสอบบทความอย่างละเอียด เช็คความถูกต้องทางไวยากรณ์ สไตล์การเขียน และการอ้างอิงแหล่งข้อมูล

ส่วนที่ 2: ขั้นตอนที่ 6-9 (เขียนและประเมิน)

6. การรวมร่าง: รวมร่างบทความของเรา ในรูปแบบสมบูรณ์และเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการตีพิมพ์หรือการเผยแพร่.

  1. 7. การตีพิมพ์หรือการเผยแพร่: นำบทความของเราไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ หรือเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ที่เหมาะสม หรือนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของเรา


  2. 8. การรีวิว: หลังจากเผยแพร่ ควรรีวิวและปรับปรุงบทความตามข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นจากผู้อ่านและเรียบร้อย.


  3. 9. การเรียนรู้และพัฒนา: ใช้ผลจากการเขียนบทความเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ศึกษาผลประโยชน์และข้อบกพร่องจากการเขียนบทความเพื่อปรับปรุงในครั้งถัดไป.

ข้อที่ 1-5 เป็นขั้นตอนที่เตรียมการและเสร็จสิ้นก่อนที่จะเขียนบทความ และข้อที่ 6-9 เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวกับการเขียนและประเมินหลังจากเสร็จสิ้นการเขียนค่ะ โดยสามารถตัดสินใจว่าจะทำขั้นตอนหนึ่งในแต่ละส่วนในเวลาที่เหมาะสม

เกณฑ์ในการประเมิน กิจกรรมการเขียนบทความ

หัวข้อและประโยคที่นำเสนอ (2 คะแนน): ความชัดเจนในการเลือกหัวข้อและการนำเสนอประโยคหลัก การระบุเป้าหมายหรือความตั้งใจในการเขียนบทความ เนื้อหาและข้อมูล (3 คะแนน): ความครอบคลุมและความเหมาะสมของเนื้อหา การนำเสนอข้อมูลที่มีความเป็นมาตรฐานและความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง การวิเคราะห์และการอภิปราย (2 คะแนน): การวิเคราะห์หรือการอภิปรายในเนื้อหาของบทความ การนำเสนอความคิดเห็นหรือการตีความข้อมูล การนำเสนอและความเข้าใจ (2 คะแนน): ความชัดเจนในการตีความและการนำเสนอเนื้อหา การใช้ภาษาอย่างถูกต้องและความเข้าใจของผู้อ่าน การอ้างอิงและการอ้างถึงแหล่งข้อมูล (1 คะแนน): การอ้างอิงและการระบุแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง ความเหมาะสมในการอ้างถึงแหล่งข้อมูลที่ใช้ในบทความ คำเตือน: ขอให้รักษาระวังไม่คัดลอกหรือละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น การละเมิดลิขสิทธิ์อาจทำให้สูญเสียคะแนนและมีผลกระทบต่อสถานภาพการศึกษาในอนาคต ให้คิดและเขียนเป็นคำพูดของเราเองและทราบถึงเรื่องที่อ่านและใช้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างมีความรับผิดชอบในการอ้างอิงข้อมูลที่มาจากแหล่งอื่น