กิจกรรมภาษาเพื่อการสื่อสาร 1
คำสั่งสำหรับกิจกรรม: “เรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ?”
คำสั่ง:
- แบ่งนักศึกษาออกเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีหน้าที่เล่าเรื่อง 2 เรื่อง ประกอบด้วย เรื่องจริง และ เรื่องเท็จ อย่างละ 1 เรื่อง
- ในการเล่าเรื่องแต่ละกลุ่ม:
- เล่าเรื่องที่เตรียมมาให้เพื่อนๆ ฟัง (สามารถเป็นเรื่องที่อ่าน ฟัง หรือมีประสบการณ์มาก็ได้)
- ใช้เวลาเล่าเรื่องไม่เกิน 5 นาที (สามารถใช้สื่อประกอบเช่น PPT ได้)
- หลังจากเล่าเรื่องทั้งสองจบแล้ว ให้กลุ่มนั้นถามเพื่อนในห้องว่า “เรื่องใดเป็นเรื่องจริง?”
- ให้เพื่อนในห้องช่วยกันตอบ พร้อมอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงคิดว่าเป็นเรื่องจริง
- กลุ่มที่เล่าเฉลยคำตอบ และสรุปเหตุผลเพิ่มเติมสั้นๆ เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน
เวลา:
- กิจกรรมนี้ใช้เวลารวมประมาณ 30 นาที:
- เวลาสำหรับการเล่าเรื่องแต่ละกลุ่ม (5 นาทีต่อกลุ่ม) และเวลาเฉลย
ข้อกำหนดการเล่า:
- การเล่าควรมีความชัดเจน ครบถ้วน และสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ฟัง
- สามารถใช้สื่อ PPT เพื่อช่วยในการเล่าเรื่องและนำเสนอได้ แต่ควรจำกัดไม่เกิน 5 สไลด์
เกณฑ์การให้คะแนน (20 คะแนน)
ความถูกต้องและการเลือกเรื่อง (5 คะแนน):
- เรื่องที่เลือกมีความเหมาะสมและชัดเจน
- มีการแบ่งเรื่องจริงและเรื่องเท็จได้อย่างน่าสนใจและชัดเจน
การนำเสนอ (10 คะแนน):
- ความชัดเจนในการเล่าเรื่อง (5 คะแนน): เล่าเรื่องได้ชัดเจนและครบถ้วน
- การใช้สื่อ (PPT) (3 คะแนน): ใช้สื่อประกอบได้อย่างเหมาะสมและเสริมความน่าสนใจ
- การจัดการเวลา (2 คะแนน): เล่าเรื่องไม่เกินเวลา 5 นาทีตามที่กำหนด
การตอบคำถามและการเฉลย (5 คะแนน):
- ความสามารถในการให้เหตุผลและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าได้ดี
- การเฉลยและสรุปผลอย่างน่าสนใจ สร้างความเข้าใจให้กับเพื่อนในห้อง
สรุปมารู้จักคำว่าการสื่อสาร และความสำคัญกัน
การสื่อสารมีความสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการเรียน เพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และความรู้สึกต่าง ๆ อย่างเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อความสำเร็จในการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคมค่ะ โดยสามารถแบ่งความสำคัญของการสื่อสารออกได้เป็นข้อหลัก ๆ ดังนี้:
1. การสร้างความเข้าใจร่วมกัน
- การสื่อสารช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นต้องการจะสื่อ และในทางกลับกันช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเราด้วยเช่นกัน การสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพทำให้ไม่เกิดความเข้าใจผิด ช่วยลดความขัดแย้งและเพิ่มความราบรื่นในการทำงานร่วมกัน
2. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- การสื่อสารที่ดีช่วยให้เราเชื่อมต่อกับผู้คนรอบข้างได้ ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และสังคม การสื่อสารเชิงบวกช่วยสร้างความไว้วางใจและความเคารพระหว่างกัน ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืน
3. การตัดสินใจและแก้ไขปัญหา
- การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิเคราะห์ปัญหา และเลือกตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและครอบคลุม การพูดคุยและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์นำไปสู่การตัดสินใจที่ดีและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การถ่ายทอดความรู้และพัฒนาการเรียนรู้
- การสื่อสารเป็นช่องทางหลักในการส่งต่อความรู้และทักษะ การพูด ฟัง อ่าน และเขียน ทำให้เราสามารถแบ่งปันความรู้ใหม่ ๆ แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ
5. การบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคลและเป้าหมายร่วม
- ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายส่วนบุคคลหรือเป้าหมายในงาน การสื่อสารที่ชัดเจนทำให้ทุกคนในทีมเข้าใจวิธีการทำงานและเป้าหมายที่ต้องการ การสื่อสารที่ดีช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความสำเร็จที่ทั้งตัวบุคคลและทีมตั้งไว้
6. การสร้างบรรยากาศที่ดีและความพึงพอใจในที่ทำงาน
- การสื่อสารที่เปิดกว้างและมีการตอบรับที่ดีช่วยลดความเครียด และส่งเสริมบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าในความคิดเห็นของตนเอง
7. การปรับตัวและสร้างความก้าวหน้า
- การสื่อสารเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้จากความผิดพลาดและมุมมองใหม่ ๆ ซึ่งช่วยในการพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนรู้ งาน หรือการเข้าสังคม
1. ความรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)
การรู้เท่าทันสื่อคือทักษะในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างเนื้อหาผ่านสื่อหลากหลายประเภทอย่างมีวิจารณญาณ การรู้เท่าทันสื่อช่วยให้เราเข้าใจถึงแรงจูงใจของผู้ผลิตสื่อ วิเคราะห์เนื้อหาเพื่อแยกแยะความจริงจากการบิดเบือน และป้องกันการเข้าใจผิดจากข่าวหรือข้อมูลปลอม
2. แนวทางในการวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของเรื่องราว
การประเมินความจริงหรือเท็จของเรื่องราวที่ได้รับฟัง สามารถทำได้โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ดังนี้
การพิจารณาแหล่งที่มาของเรื่องราว: ให้ตรวจสอบว่าเรื่องราวมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือหรือไม่ แหล่งที่เชื่อถือได้มักมาจากผู้เชี่ยวชาญหรืองานวิจัยที่มีหลักฐานประกอบ ไม่ใช่จากคำบอกเล่าที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
การวิเคราะห์เนื้อหา: พิจารณาว่าเนื้อหาที่เล่ามีความสอดคล้องและสมเหตุสมผลหรือไม่ เรื่องราวที่เป็นความจริงมักจะมีข้อมูลที่สมเหตุสมผลและมีลำดับเหตุการณ์ชัดเจน
การตรวจสอบอคติ (Bias): บางครั้งสื่อหรือผู้เล่าอาจมีอคติซ่อนอยู่ เช่น ต้องการชักจูงให้ผู้ฟังเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผู้ฟังควรพิจารณาว่าเรื่องนั้นมีการบิดเบือนความจริงหรือใช้ภาษาที่กระตุ้นอารมณ์มากเกินไปหรือไม่
การสังเกตถึงการใช้ภาษาที่ผิดปกติหรือเกินจริง: การใช้ภาษาที่เกินจริงเช่น การกล่าวเกินความจริง การใช้คำว่า "ทุกคน" หรือ "ไม่มีใคร" มักเป็นสัญญาณที่ทำให้เรื่องราวไม่น่าเชื่อถือ เพราะในความจริงมีน้อยครั้งที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างครอบคลุมถึงขนาดนั้น
การประเมินโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น: ลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เล่ามาเพื่อยืนยันหรือโต้แย้งกับสิ่งที่ได้ฟัง การอ้างอิงถึงข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับจากหลายแหล่งมักจะทำให้เรื่องราวน่าเชื่อถือมากขึ้น
3. การตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล
การตั้งคำถามเป็นทักษะที่สำคัญในการรู้เท่าทันสื่อ เราควรตั้งคำถามดังนี้เพื่อช่วยประเมินความน่าเชื่อถือ:
- ผู้เล่าต้องการให้ผู้ฟังรู้สึกหรือเชื่ออย่างไร? การตั้งคำถามเช่นนี้ช่วยให้เราระวังและมองหาเจตนาหรืออคติที่อาจอยู่ในเรื่องราว
- มีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานอะไรที่ยืนยันเรื่องนี้ได้หรือไม่? ข้อมูลหรือหลักฐานที่ยืนยันสามารถทำให้เรื่องราวดูมีน้ำหนักมากขึ้น
- มีข้อมูลอื่นที่ให้ความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างจากนี้หรือไม่? การมองเรื่องราวจากหลายมุมมองช่วยให้เราเห็นภาพที่ครบถ้วนและหลากหลาย
4. การรู้เท่าทันสื่อในการใช้งานจริง
การรู้เท่าทันสื่อไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธข้อมูลทุกอย่างที่ไม่ตรงกับความเชื่อของเรา แต่หมายถึงการเปิดรับฟังพร้อมกับการวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ เพื่อให้เราตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล